ด้วยเหตุเพราะไม่อยากซ้ำเติม ด้วยการสาด “สากกะเบือบิน” ใส่ “บิ๊กตู่” ให้มากมายเกินไปนัก เพราะเท่าที่เจออยู่ ณ ช่วงขณะนี้ ต้องเรียกว่า...อ่วมอรทัยกาญจนชูศักดิ์ เครื่องหลุด เครื่องหลวม แทบจะ “ไปไม่เป็น” อีกต่อไปเอาเลยก็ว่าได้ โอกาสอยู่ยืด อยู่ยาวว์ว์ว์ไปเลยครับพี่น้อง น่าจะลำบาก!!! จนแทบไม่ต้องเสียเวลาไปรุมมือ รุมตีน อะไรให้เมื่อย ดังนั้น...เลยคงต้องถือโอกาสเปลี่ยนวิถีสากกะเบือ หันไปสำรวจตรวจสอบสากกะเบือยักษ์ บ้องข้าวหลามยักษ์ หรือบรรดาขีปนาวุธรุ่นใหม่ๆ ของประเทศต่างๆ น่าจะสบายใจกว่า...
และอย่างที่พอรู้ๆ กันไปแล้วว่า...ช่วงประมาณตีสามกว่าๆ ของคืนวันพุธ “คิมน้อย” แห่งเกาหลีเหนือเขาก็ได้อวดโชว์ขีปนาวุธรุ่นใหม่ล่าสุด ที่เรียกชื่อว่า “ฮวาซอง-15” (Hwasong-15) ให้เป็นที่ตื่นตา ตื่นใจ และเป็นที่ขนหัวลุก โดยเฉพาะสำหรับคุณพ่ออเมริกาอย่างมิอาจปฏิเสธได้เลย เพราะแม้แต่กระทรวงกลาโหมอเมริกัน ยังต้องออกมายอมรับว่าจัดเป็นขีปนาวุธระดับ “ICBM” (Intercontinental Ballistic Missile) แบบเต็มรูปแบบ แม้ระยะการยิงระหว่างทำการทดสอบ จะไกลเพียงแค่ 950 กิโลเมตร หรือมาหล่นปุอยู่แถวๆ ทะเลญี่ปุ่น แต่ถ้าคำนวณจากความสูงที่จรวดรุ่นนี้พุ่งขึ้นสู่ระดับความสูงถึง 4,475 กิโลเมตร หาก “ปรับมุมยิง” ให้เตี้ยลงมาอีกซักหน่อย โอกาสที่ “ฮวาซอง-15” ของ “คิมน้อย” จะข้ามน้ำ ข้ามฟ้า ไปเกินกว่าระยะทาง 5,500 กิโลเมตร อันถือเป็นพิกัดทำการของขีปนาวุธระดับ “ICBM” ไปหล่นใส่เกาะกวม ฮาวาย หรือหล่นใส่หัวกบาลอเมริกันชนในผืนแผ่นดินใหญ่สหรัฐฯ ย่อมเป็นไปได้ทุกเมื่อ...
แต่ระดับ “ฮวาซอง-15” ของ “คิมน้อย” นั้น...ยังต้องถือว่าชิลๆ เมื่อลองหันมาเทียบกับขีปนาวุธรุ่นใหม่ล่าสุดของคุณพี่จีนที่ถูกเรียกขานกันในนาม “ตงเฟิง-41” (Dongfeng-41) หรือ “DF-41” ที่ถูกนำมาทดสอบครั้งสุดท้ายเมื่อช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมา ในแถบทะเลทรายด้านตะวันตกของประเทศ ซึ่งถือเป็นการทดสอบครั้งที่ 8 ก่อนจะเข้าประจำการในหน่วยรบของกองทัพประชาชนจีน (People’s Liberation Army Rocket Force) อย่างเป็นทางการนับจากนี้ เพราะขีปนาวุธที่ว่านี้ ถูกจัดให้เป็น “ขีปนาวุธข้ามทวีปที่เร็วที่สุดในโลก” ไม่เพียงแต่มีพิสัยทำการยาวไกลถึง 12,000 กิโลเมตร (7,500 ไมล์) ระเบิดเหนือเป้าหมายในระดับความสูง 328 ฟุต ยังสามารถทำความเร็วในระหว่างร่อนไป-ร่อนมาได้ถึงกว่า 10 มัค หรือกว่า 7,672 ไมล์ต่อชั่วโมง เรียกว่า...เร็วขนาดจะเข็น “THADD” อีกซักกี่ถาด ก็อาจจับไม่ได้ ไล่ไม่ทัน เอาเลยถึงขั้นนั้น...
อีกทั้งยังสามารถปรับเปลี่ยนวิธียิงได้หลากหลายเอามากๆ คือจะยิงจากฐานยิง ยิงจากพาหนะที่เคลื่อนที่ได้ ไปจนถึงยิงจากเรือดำน้ำ สามารถทำได้หมด โอกาสที่จะป้องกันทำลาย จึงยิ่งยากซ์ซ์ซ์ยิ่งขึ้นไปเท่านั้น ชนิดที่ผู้เชี่ยวชาญด้านอาวุธแต่ละราย ต่างออกมาให้ความยอมรับว่า “ขีปนาวุธชนิดนี้สามารถโจมตีใครต่อใครได้ทั่วทุกมุมโลก และทำให้จีนสามารถตอบโต้ประเทศนิวเคลียร์ได้ทุกๆ ประเทศ” ซึ่งขีดความสามารถในระดับนี้ของคุณพี่จีนคงไม่ใช่แค่เรื่องที่จะเอามาพูดกันแบบมันซ์ซ์ปาก แบบพวกแฟนคลับนิตยสารอาวุธปืน พวกที่สนุกสนาน ตื่นเต้ลล์ล์ล์ กับขีดความสามารถของอาวุธแต่ละชนิดที่ทรงประสิทธิภาพในการสร้างความฉิบหายให้ผู้อื่นมากหรือน้อยไปกว่ากัน เพราะลึกๆ ลงไปแล้ว...บรรดาสิ่งทั้งหลาย ทั้งปวงเหล่านี้ ยังเกี่ยวพันไปถึงเรื่องดุลอำนาจ เรื่องวิเทโศบายทางการเมือง เศรษฐกิจ อย่างมิอาจแยกออกจากกันได้โดยเด็ดขาด...
อย่างเมื่อครั้งที่วารสารด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและนโยบายต่างประเทศ ชื่อว่า “ออร์บิส” (Orbis) ได้เผยแพร่ข้อเขียน บทความ ในช่วงปลายปี ค.ศ.2010 เปิดเผยถึงผลสำเร็จในการทดสอบอาวุธชนิดใหม่ของจีน ที่ถูกเรียกขานกันใน นาม “ตงเฟิง-21 ดี” (Dongfeng-21 D) ขนาดยังไม่ไปไกลถึงระดับ “ตงเฟิง-41” อย่างในทุกวันนี้ แต่เล่นเอากองทัพสหรัฐฯ ทั้งกองทัพ ออกอาการขนหัวลุก ผมตั้งเด่ชนิดไม่มีสิทธิย้อยลงมาปรกหน้าแบบ “ทรัมป์บ้า” ขณะนี้เอาเลยแม้แต่น้อย โดยเฉพาะเมื่อข้อเขียนชิ้นนี้ได้ระบุไว้แบบตรงไป-ตรงมาว่า... “จากการทดสอบคราวล่าสุด ชี้ให้เห็นว่า เมื่อถูกยิงด้วยขีปนาวุธตงเฟิง-21 ดีแล้ว เรือบรรทุกเครื่องบินพลังงานนิวเคลียร์ของสหรัฐฯ ระดับยูเอสเอสจอร์จ วอชิงตัน จะสามารถจมลงภายในช่วงระยะเวลาเพียงแค่ 20 นาทีเท่านั้น” และนั่นก็ได้ทำให้รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ ในช่วงขณะนั้น คือ “นายโรเบิร์ต เกตส์” (Robert Gates) ต้องออกมายอมรับกับผู้สื่อข่าว ระหว่างเดินทางไปเยือนกรุงปักกิ่งเมื่อต้นปี ค.ศ. 2010 ว่า... “เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า พวกเขา (จีน) มีศักยภาพมากพอที่จะทำให้สมรรถนะทางทหารของเรา บางอย่าง บางประเภท ตกอยู่ในความเสี่ยง โดยเราต้องหันมาให้ความสนใจ หาทางรับมือ และตอบโต้อย่างเหมาะสม ด้วยโครงการต่างๆ ของเราเอง...”
และด้วยความพยายามหาทางรับมือ เพิ่มขีดความสามารถในการตอบโต้อย่างเหมาะสมที่ว่านี่เอง รัฐบาลสหรัฐฯ เลยหนีไม่พ้นต้องทุ่มเทงบประมาณไม่รู้กี่แสนๆ กี่ล้านๆ ดอลลาร์ ให้กับโครงการนานาชนิด ไม่ว่าโครงการยานทดสอบความเร็วระดับไฮเปอร์โซนิก รุ่นฟัลคอน (Falcon Hypersonic Test Vehicle-HTV) โครงการเครื่องบินความเร็วระดับไฮเปอร์โซนิก รุ่นแบล็กสวิฟต์ (Blackswift Hypersonic Aircraft) โครงการพัฒนาขีปนาวุธนำวิถีรุ่นมินิทแมน 3 (US’LGM-30 Minuteman 3) รวมถึงการทุ่มทุนให้บริษัทล็อกฮีดในการยกระดับระบบป้องกันขีปนาวุธที่เรียกว่า “THAAD” อีกด้วย ฯลฯ ฯลฯ และด้วยบรรดาโครงการเหล่านี้...ล้วนมีส่วนโดยตรงที่ทำให้มูลค่าหนี้สินของสหรัฐฯ สูงขึ้นถึงเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์ของตัวเลขจีดีพีและสูงเกินกว่าเพดานหนี้ที่รัฐสภาได้ขีดเส้นกำหนดไม่รู้ต่อกี่ครั้งๆ มาแล้ว...
หรือพูดง่ายๆ ว่า...มันกลับกลายเป็นตัวซ้ำเติมให้วิกฤตเศรษฐกิจในสหรัฐฯ ยิ่งมีแต่จะหนักหนาสาหัส และมีแต่แย่กับแย่ไปโดยตลอดนั่นเอง ในขณะที่ขนาดเศรษฐกิจ หรือจีดีพีคุณพี่จีนกลับมาแรงแซงโค้ง กำลังเบียดจีดีพีสหรัฐฯ ให้ต้องชิดซ้าย ตกคู ตกคลอง ไม่เกินอีก 10 ปีข้างหน้าอย่างเห็นได้โดยชัดเจน ด้วยเหตุนี้เรื่องขีปนาวุธรุ่นใหม่ล่าสุดของจีน จึงไม่ใช่แค่เรื่องที่จะเอามาพูดแบบ “เอามันซ์ซ์ซ์” กันไปวันๆ เท่านั้น เพราะมันยังสามารถสะท้อนถึงวิเทโศบายทางการเมือง เศรษฐกิจระหว่าง “มหาอำนาจรายใหม่” ที่กำลังเป็นดาวรุ่งพุ่งแรงอยู่ในทุกวันนี้ กับ “มหาอำนาจรายเก่า” ที่มีแต่จะเสื่อมโทรม ทรุดโทรมลงไปทุกที โดยเฉพาะถ้ามองถึง “ภาพรวม” ทั้งหมด แนวโน้มที่ “บูรพาภิวัฒน์” จะแปรสภาพเป็น “บูรพาไม่แพ้” เป็น “ตงฟางปุ้กป้าย” ย่อมมีโอกาสเป็นไปได้สูงยิ่งขึ้นเรื่อยๆ...