สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส พระประมุขแห่งคริสตจักรคาทอลิก ได้เสด็จเยือนประเทศเมียนมาร์ด้วยความตั้งใจอย่างยิ่ง เพื่อสะสางลดทอนวิกฤตที่เกิดขึ้นกับชาวโรฮิงญาซึ่งอาศัยในรัฐยะไข่ มุ่งเน้นประเด็นสันติภาพ การให้อภัย และการปรองดอง
จากนั้นจะเสด็จไปเยือนบังกลาเทศ ซึ่งได้รับผู้ลี้ภัยชาวโรฮิงญากว่า 1 ล้านคน ซึ่งรวมจำนวนล่าสุด 630,000 คน ที่เริ่มอพยพจากรัฐยะไข่หลังจากการปะทะกันระหว่างกองกำลังติดอาวุธโรฮิงญากับเจ้าหน้าที่เมียนมาร์มีผู้เสียชีวิตกว่า 35 ราย
นั่นคือความผิดพลาดครั้งสำคัญ แก้ตัวไม่ได้ การตั้งกองกำลังจับอาวุธต่อสู้ ฆ่าทหาร ตำรวจ และชาวบ้านเสียชีวิตจึงเป็นเหตุและข้ออ้างที่กองทัพรัฐบาลกวาดล้างกบฏโรฮิงญาอย่างเต็มที่ ไม่ออมมือ ทำให้ชาวโรฮิงญาหนีตายลี้ภัยไปอยู่บังกลาเทศ
เมื่อออกไปจากเมียนมาร์แล้ว หนทางที่จะได้กลับแทบไม่เหลือ รัฐบาลเมียนมาร์ได้หาโอกาสทองแบบนี้นานแล้วในการขับดันพวกโรฮิงญาให้พ้นประเทศ โรฮิงญาที่เหลือในรัฐยะไข่ยังมีจำนวนน้อยกว่าที่อพยพออกไปนอกเมียนมาร์ด้วยซ้ำ
ภารกิจหลักของพระสันตะปาปาที่จะให้รัฐบาลเมียนมาร์ลดท่าที ยอมรับการหวนคืนสู่ถิ่นเดิมของโรฮิงญาไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะมีความรู้สึกเป็นปฏิปักษ์ต่อกันมายาวนาน ชาวเมียนมาร์ไม่เคยคิดว่าชาวโรฮิงญาเป็นพลเมืองอยู่ร่วมประเทศเดียวกัน
ไม่ว่าท่าทีของพระสันตะปาปาจะแสดงออกอย่างไรกับผู้นำรัฐบาลคือนางอองซาน ซูจี หรือ พลเอกมิน อ่อง หล่าย ผู้นำกองทัพ ผลสุดท้ายรัฐบาลเมียนมาร์และประชาชนโดยรวมคงมีความรู้สึก จุดยืนร่วมกันว่าโรฮิงญาไม่ใช่พลเมืองของประเทศ
คำวิงวอนของพระสันตะปาปาจึงไม่น่ามีผล ที่ผ่านมารัฐบาลเมียนมาร์ไม่ได้ใส่ใจต่อข้อเรียกร้องจากองค์กรต่างๆ เช่นสหประชาชาติ รัฐบาลสหรัฐฯ กลุ่มประเทศอียู รวมทั้งกลุ่มประเทศอื่นๆ ซึ่งพยายามโน้มน้าวรัฐบาลเมียนมาร์ แต่ก็ล้มเหลว
ข้อเสนอจากบางประเทศที่จะขอรับชาวโรฮิงญาไปประเทศของตนไม่ได้รับการตอบสนองเท่าที่ควร เพราะจำนวนที่จะรับไม่มาก ทั้งยังกลัวว่าการห่างไกลจากถิ่นคุ้นเคยจะทำให้ดำรงชีพ การทำมาหากินเพื่อให้พ้นทุกข์นั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายแน่นอน
ก่อนหน้าที่พระสันตะปาปาเสด็จมาเยือน พระองค์เคยตรัสเรื่องนี้เมื่อนางซูจีไปเยือนสำนักวาติกัน และนางซูจีได้รับการตำหนิจากประชาคมโลกด้วย แต่ก็แสดงท่าทีผูกมัดอะไรไม่ได้เพราะว่าฝ่ายกองทัพ ผู้นำทหารรับผิดชอบงานความมั่นคง
เพียงแค่เอ่ยคำว่า “โรฮิงญา” พระองค์ก็ได้รับคำแนะนำว่าต้องเลี่ยง เพราะเป็นประเด็นเปราะบาง รัฐบาลเมียนมาร์ยืนยันมาโดยตลอดว่าไม่มีคำว่า “โรฮิงญา” เพราะพวกนั้นมาจากแคว้นเบงกอลในบังกลาเทศ ต้องเรียกว่า “ชาวเบงกาลี”
เมื่อเสด็จเยือนบังกลาเทศ พระองค์คงได้ประจักษ์ชัดว่าแม้กระทั่งชาวโรฮิงญาด้วยกันเอง ก็ยังมีความเป็นปฏิปักษ์ต่อกันระหว่างโรฮิงญาคริสต์กับโรฮิงญามุสลิมซึ่งมีจำนวนมากกว่าอย่างเทียบกันไม่ได้ และโรฮิงญาคริสต์ถูกข่มเหงระรานอยู่เสมอ
ในค่ายผู้ลี้ภัยในเมืองค็อกซ์ บาซาร์ในบังกลาเทศ ยังมีการแยกค่ายระหว่างโรฮิงญาคริสต์และมุสลิม เพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะกัน เป็นปัญหาย่อยในกลุ่มผู้ลี้ภัย
ถ้ายกประเด็นโรฮิงญา ซึ่งเป็นคำต้องห้าม ขึ้นพูดกับผู้นำรัฐบาลและผู้นำกองทัพ ต้องไม่ให้เกิดปัญหาลามต่อเนื่องด้านความรู้สึกการเป็นปฏิปักษ์ระหว่างชาวพุทธและชาวมุสลิม รวมทั้งไม่ให้เกิดปัญหากับชาวคริสต์ในเมียนมาร์
เพียงเท่านี้ก็ทำให้พระสันตะปาปาลำบากพระทัย ต้องหาทางเลี่ยงการอ้างถึงโดยตรง แม้ภารกิจหลักของพระองค์จะมาเพื่อดูแลปัญหาของโรฮิงญาก็ตาม ต้องคำนึงถึงความละเอียดอ่อนอย่างมากเพราะเมียนมาร์มีชาวพุทธถึง 90 เปอร์เซ็นต์
มีชาวคริสต์อยู่ประมาณ 3.2 ล้านคน และชาวมุสลิม 1.2 ล้านคน ที่เหลือนับถือศาสนาอื่นๆ ตามชนเผ่า รวมทั้งผู้นับถือศาสนาฮินดูประมาณ 3 แสนคน และในเมียนมาร์องค์กรพระสงฆ์และชาวพุทธมีพลังแข็งแกร่ง รวมทั้งความรู้สึกชาตินิยม
ผู้นำกองทัพได้ตั้งอย่างน้อย 2 เงื่อนไขต่อข้อเรียกร้องจากประชาคมโลกเรื่องให้รับผู้ลี้ภัยชาวโรฮิงญากลับจากบังกลาเทศ ซึ่งได้แบกรับภาระไว้นานหลายปีแล้ว งบประมาณต่างๆ ก็ร่อยหรอ การรับบริจาคจากองค์กรต่างๆ ก็ไม่เพียงพอ
เงื่อนไขทั้ง 2 ประการ ก็น่าจะทำให้เลิกพูดเรื่องการหวนคืนสู่ถิ่นเดิม เพราะข้อแรกรัฐบาลเมียนมาร์ต้องการให้พิสูจน์สัญชาติก่อนว่าเป็นชาวโรฮิงญาซึ่งได้มีถิ่นฐานในรัฐยะไข่ ซึ่งจะเป็นการยากเพราะรัฐบาลไม่เคยออกเอกสารอะไรให้ชาวโรฮิงญา
ดังนั้นการจะปฏิเสธ ไม่รับพิจารณาคำขอย่อมเป็นไปโดยง่าย อ้างว่าไม่ต้องการให้มีชาวบังกลาเทศสวมรอยเข้าไปอาศัยในรัฐยะไข่ ซึ่งก็มีชาวอาระกันอาศัยอยู่ มีกองกำลังกู้ชาติต่อสู้กับรัฐบาลเมียนมาร์ และเป็นปฏิปักษ์กับโรฮิงญาด้วย
ประเด็นที่ 2 คือ การที่ชาวโรฮิงญาจะคืนสู่เมียนมาร์ ต้องได้รับการยอมรับจากชาวเมียนมาร์ด้วย นี่ยิ่งยากกว่าประเด็นแรกเพราะไม่ว่าชนเผ่าใดก็ไม่ต้องการโรฮิงญา ชาวอาระกันในรัฐยะไข่ยิ่งไม่เอา เพราะจะได้เพิ่มพื้นที่ครอบครอง แผ่ขยายอิทธิพล
แรงกดดันจากประชาคมโลกไม่น่าจะได้ผล เพราะเมียนมาร์เคยปิดประเทศนานกว่า 50 ปีภายใต้นโยบายสังคมนิยม ดังนั้นย่อมทนต่อแรงกดดัน ยิ่งมีทางเลือกในการคบเพื่อนเช่น จีน รัสเซีย รัฐบาลเมียนมาร์จึงไม่กังวล ได้ตัดปัญหาโรฮิงญาด้วย
ต้องรอดูภารกิจของพระสันตะปาปาในบังกลาเทศว่าจะมีผลบวกอย่างไร