xs
xsm
sm
md
lg

"รสนา"จี้นายกฯสั่งอัยการฟ้อง"CPOC-CHESS"หลบเลี่ยงภาษีโดยด่วน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ผู้จัดการรายวัน 360 - "รสนา" จี้นายกฯสั่ง "อัยการ - ดีเอสไอ" ฟ้องบริษัท "CPOC - CHESS" หลบเลี่ยงภาษีโดยเร่งด่วน หลังยืดเยื้อมานาน พร้อมให้ตั้งกรรมการสอบสวนผู้บริหารกรมศุลกากรสมรู้ร่วมคิดให้คำปรึกษาเอกชนเลี่ยงภาษี เพื่อป้องกันความเสียหายอันใหญ่หลวงกับประเทศชาติในอนาคต

วานนี้ (14 พ.ย.) น.ส.รสนา โตสิตระกูล อดีต ส.ว.กรุงเทพ ได้โพสต์เฟซบุ๊กจี้ให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา สั่งการให้สำนักงานอัยการและกรมสอบสวนคดีพิเศษ ดำเนินการสั่งฟ้องบริษัท CPOC และ CHESS ที่หลบเลี่ยงภาษี โดยระบุ

จากข่าวของไทยพับลิก้าเรื่อง“บิ๊กตู่” ไฟเขียว-ชงสรรพากรตรวจ VAT ผู้นำเข้าคอนเดนเสทผ่านบริษัทสิงคโปร์-เสียภาษี? เนื้อหาที่สำคัญคือ

นายรังสรรค์ ศรีวรศาสตร์ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีได้สรุปผลการศึกษาส่งท่านนายกรัฐมนตรีโดยมีความเห็นว่า

"การจัดเก็บภาษีทุกประเภทของกระทรวงการคลังจะพิจารณาจาก "จุดที่มีภาระภาษีเกิดขึ้น" หรือ "Tax Point" เป็นหลักการสำคัญ " ซึ่งคือจุดที่การซื้อขายและส่งมอบสำเร็จ ไม่ใช่ใช้ประเทศปลายทางเป็น tax point ตามที่สำนักกฎหมายของกรมศุลกากรพยายามจะยื้อตีความเช่นนั้น เพื่อช่วยให้บริษัทเอกชนไม่ต้องเสียภาษีให้รัฐ ใช่หรือไม่

ดังนั้นคอนเดนเสทที่บริษัท CHESS และ CPOC ที่เป็นผู้รับสัมปทานในพื้นที่พัฒนาร่วมไทย - มาเลเซีย (เจดีเอ) ที่ขายให้บริษัทนายหน้าสิงคโปร์ ก่อนขายต่อมาประเทศไทยจึงมีภาระภาษีส่งออก 5% เมื่อมีการซื้อขายและการส่งมอบสำเร็จ เพราะบริษัทสิงคโปร์ไม่ได้รับการยกเว้นภาษีส่งออกเหมือนที่ขายให้ประเทศไทยโดยตรง

ดังนั้นเมื่อบริษัทสิงคโปร์นำคอนเดนเสทมาขายต่อให้กับบริษัทน้ำมันในไทย บริษัทที่นำเข้าน้ำมันจึงต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม7% อีกด้วยเหมือนการนำเข้าสินค้าโดยทั่วไป

โดยที่กรมศุลกากรไม่ดำเนินการกับบริษัท CPOC และ CHESS ที่สำแดงเอกสารการส่งออกเป็นเท็จและหลีกเลี่ยงการเสียภาษี จึงมีการร้องทุกข์กล่าวโทษกรมศุลกากรต่อดีเอสไอให้เข้าตรวจสอบกรณีนี้ซึ่งดีเอสไอใช้เวลา3ปีในการตรวจสอบจนมีหลักฐานเพียงพอที่จะแจ้งข้อหากับบริษัท CPOC เเละ CHESS แล้ว

ปรากฎว่าจู่ๆผู้บริหารจาก3กระทรวง ประกอบด้วยกระทรวงพลังงาน ที่มีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติเป็นโต้โผหลัก กระทรวงการคลังที่มีกรมศุลกากรที่เป็นทั้งเจ้าของเรื่อง และผู้ถูกร้องเรียน รวมทั้งกระทรวงยุติธรรมที่ดูแลดีเอสไอ มีการนัดหมายมาประชุมร่วม 3ฝ่ายเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2560 และมีมติให้ดีเอสไอชะลอการสอบสวนและการสั่งฟ้อง2บริษัทนี้ไปก่อน โดยมติในที่ประชุม3ฝ่ายให้ดีเอสไอรอกรมศุลกากรส่งหนังสือเป็นลายลักษณ์อักษรเกี่ยวกับการตีความเรื่องใช้ประเทศปลายทาง (Physical movement) เป็นหลักในการเก็บภาษี ซึ่งการตีความเช่นนี้ไม่มีข้อกฎหมายรองรับ และความเห็นนี้จะกลายเป็นการช่วยเหลือบริษัทเอกชนจะได้ไม่ต้องเสียภาษี ใช่หรือไม่

บรรดาผู้บริหารจาก 3 กระทรวงยังบังอาจเสนอเรื่องนี้ให้นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคสช.ใช้อำนาจตามมาตรา44 ยกเว้นการเก็บภาษีกรณีนี้ อ้างว่าเพื่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ!?! อันที่จริงน่าจะมีความมุ่งหมายจะช่วยเหลือให้บริษัทเอกชนไม่ต้องรับโทษที่หลบเลี่ยงภาษีส่งออก และภาษีนำเข้ามากกว่า ใช่หรือไม่

นับจากมีรายงานการประชุมเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2560 จนถึงขณะนี้ เวลาผ่านมา 4เดือนแล้ว กรมศุลกากรก็ยังนิ่งเฉยไม่มีเอกสารส่งให้กับทางดีเอสไอแต่อย่างใด ส่วนดีเอสไอก็ทำท่าจะรอไปเรื่อยๆโดยไม่มีกำหนดเวลาว่าเมื่อไหร่จะส่งฟ้อง2บริษัทที่หลบเลี่ยงภาษี ใช่หรือไม่

นอกจากนี้ในข่าวระบุว่าทางกรมศุลกากรยังดิ้นรนจะยื้อเวลาด้วยการจะส่งเรื่องนี้ให้คณะกรรมการกฤษฎีกาตีความอีก ทั้งที่เคยถูกปฏิเสธมาครั้งหนึ่งแล้วจากคณะกรรมการกฤษฎีกาเมื่อปี2558 ว่าไม่รับปรึกษาเพราะกรมศุลกากรสามารถพิจารณาได้เองตามกฎหมายอยู่แล้ว

ในมติที่ประชุม3ฝ่าย รองอธิบดีดีเอสไอมีพฤติกรรมประหลาดที่ระบุว่าจะส่งเรื่องในสำนวนการสอบสวนไปให้กรมศุลกากรที่ถูกร้องเรียนว่าละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นผู้พิจารณาตีความอีกครั้ง ทั้งที่เอกสารการสอบสวนเป็นเอกสารลับ ใช่หรือไม่

จึงต้องขอเรียกร้องไปถึงท่านนายกรัฐมนตรีโปรดมีบัญชาให้อธิบดีดีเอสไอ และสำนักงานอัยการสูงสุดเดินหน้าดำเนินคดีกรณีนี้ต่อไปโดยไม่ชักช้า โดยไม่จำเป็นต้องรอเอกสารการตีความของกรมศุลกากรอีกแล้วเพราะการสั่งการของท่านนายกฯให้กรมสรรพากรตรวจสอบการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มจากผู้นำเข้าคอนเดนเสทจากบริษัทนายหน้าสิงคโปร์นั้นมีความชัดเจนอยู่แล้วว่า กรณีดังกล่าวมีการหลบเลี่ยงภาษีทั้งขาออกจากพื้นที่เจดีเอ และภาษีนำเข้ามาในประเทศไทย ใช่หรือไม่

ท่านนายกรัฐมนตรีสมควรบัญชาให้ตั้งคณะกรรมการที่เป็นคนนอกกระทรวงการคลังมาสอบสวนผู้บริหารในกรมศุลกากรที่อาจจะเข้าข่ายมีพฤติกรรมในการช่วยเหลือบริษัทเอกชนเพื่อหลบเลี่ยงการเสียภาษีให้รัฐ ซึ่งอาจเป็นกลุ่มบุคคลเดียวกันหรือไม่ ที่ช่วยเหลือบริษัทเชฟรอนในการตีความการส่งออกน้ำมันไปใช้ยังแท่นขุดเจาะว่าเป็นการส่งออกที่ไม่ต้องเสียภาษี แต่ในที่สุดคณะกรรมการกฤษฎีกา(คณะพิเศษ) ก็ได้วินิจฉัยว่าการส่งน้ำมันไปใช้ที่แท่นขุดเจาะเป็นการค้าชายฝั่งที่ต้องเสียภาษี ซึ่งกรณีดังกล่าว แม้บริษัทเชฟรอนยอมมาเสียภาษีก็เพราะจำนนด้วยหลักฐาน ซึ่งหากไม่มีการร้องเรียนกรณีนี้ ก็จะมีการหลบเลี่ยงภาษีกันอย่างมโหฬารที่ส่งผลกระทบต่อรายได้ของรัฐอย่างมหาศาล ใช่หรือไม่

ท่านนายกฯจึงสมควรตั้งกรรมการมาสอบสวนผู้บริหารในกรมศุลกากรที่มีส่วนร่วมในการให้คำปรึกษาเอกชนหลีกเลี่ยงภาษีเพื่อจะได้ป้องกันความเสียหายอันใหญ่หลวงกับประเทศชาติในอนาคต
กำลังโหลดความคิดเห็น