วันนี้...คงต้องขออนุญาต “แถ” ไปแถวๆ เยเมนซักหน่อยนะทั่น!!! ด้วยเหตุเพราะเป็นประเทศที่ออกจะน่าสงสารเอามากๆ คือตั้งแต่ถูกแขกซาอุฯ โดยมกุฎราชกุมาร เจ้าชาย “MbS” (Mohammed bin Salman) ว่าที่กษัตริย์องค์ใหม่รายนี้นี่แหละ เมื่อครั้งขึ้นมาเป็นรัฐมนตรีกลาโหมหมาดๆ และกลายเป็นตัวตั้งตัวตีในการ “เปิดศึกถล่มเยเมน” ตั้งแต่เดือนมีนาคม ค.ศ. 2015 โดยมีประเทศยักษ์ๆ อย่างอเมริกา อังกฤษ และพันธมิตรอาหรับร่วมยืนหยัดเคียงบ่า เคียงไหล่ เพื่อสนับสนุน “ประธานาธิบดีหุ่น” ของตัวเอง “นายรับบูห์ มานซูร์ ฮาดี” (Rubbu Mansur Hadi) ให้กลับไปมีอำนาจ...
แต่แม้ว่าจะได้สังหาร พร่าผลาญชาวเยเมนเด๊ดสะมอเร่ อิน เดอะ เท่งทึงไปแล้วไม่ต่ำกว่า 15,000 รายเป็นอย่างน้อย สร้างความทุกข์ยาก เดือดร้อนแสนเข็ญ ชนิดประชากรชาวเยเมนประมาณ 27.4 ล้านคนที่แทบไม่มีอะไรจะกินอยู่แล้ว กลายเป็นผู้ที่กำลังใกล้ตายเพราะขาดอาหาร น้ำดื่ม ยารักษาโรค ไม่น้อยกว่า 18-19 ล้านคน หรือเกือบ 80 เปอร์เซ็นต์ของประเทศ แม้จะเกิดโรคระบาดอย่าง “อหิวาต์” แพร่สะพัดไปทั่ว 20 เขตปกครอง จากจำนวนเขตปกครอง 22 เขตทั่วประเทศ แต่ไม่สามารถขนยา ขนน้ำดื่ม ขนอาหาร เข้าไปช่วยเหลือเยียวยาประชากรเหล่านี้ได้เลย เนื่องจากกองทัพซาอุฯ ภายใต้การบัญชาของเจ้าชาย “MbS” สั่งให้ปิดเมืองท่าสำคัญๆ อย่างเช่นเมืองท่า “Al Hudaydan” ที่เหลือเป็นช่องเดียวที่หน่วยงานทางมนุษยธรรมระหว่างประเทศ พอขนอะไรต่อมิอะไรเข้าไปช่วยเหลือได้ ฯลฯ แต่บรรดาสิ่งเหล่านี้กลับไม่ค่อย “ปรากฏเป็นข่าว” มากมายซักเท่าไหร่นัก โดยเฉพาะจากบรรดา “สื่อกระแสหลัก” ที่ได้รับโฆษณาหลัก จากสายการบินซาอุฯ หรือยูเออีมาโดยตลอด อย่างเช่น CNN, BBC, CNBC ฯลฯ อะไรต่อมิอะไรเป็นต้น...
จนเมื่อครั้นพวกกบฏเยเมน หรือที่เรียกๆ กันว่าพวก “ฮูตี” (Houtis)ได้ตัดสินใจยิงจรวดพิสัยใกล้ “Volcano H2” หรือ “Borkan H2” เข้าใส่สนามบิน “King Khalid” ที่ตั้งห่างจากกรุงริยาดไปทางด้านเหนือแค่ 35 กิโลเมตรเท่านั้นเอง อันเป็นสนามบินนานาชาติที่ต้องถือว่าใหญ่โต ก้าวล้ำนำสมัยมิใช่น้อย มีผู้โดยสารผ่านเข้า-ออกเกือบ 20 ล้านคนในแต่ละปี มีเครื่องบินจากสายการบินดังๆ ลงจอดปีละเกือบ 200,000 เที่ยว แม้จะมีข่าวว่ากองทัพซาอุฯ ได้ใช้จรวด “Patriot MIM-104” ยิงสกัดจรวดของพวกกบฏได้อย่างทันท่วงที แต่ด้วยเหตุเพราะจากการโจมตีครั้งนี้ ตัวเจ้าชาย “MbS” เองนั่นแหละ ได้หันไป “ป้ายขี้” ให้กับรัฐบาลอิหร่าน หาว่าเป็นผู้ส่งจรวดเหล่านี้ให้กับพวกกบฏ อันถือเป็น “การรุกรานทหารโดยตรงต่อซาอุฯ” หรือ “เข้าข่ายการก่อสงครามกับราชอาณาจักรซาอุฯ” อันส่งผลให้เหตุการณ์สงครามและโศกนาฏกรรมในเยเมน จึงไม่ถึงกับหายคลายจางไปจากความรู้สึกของผู้คนซะทีเดียว แม้ถูกพูดถึงในฐานะ “ชนวนเหตุ” อันอาจส่งผลให้เกิดการเผชิญหน้าทางทหารระหว่าง 2 พี่เบิ้มใหญ่ในตะวันออกกลาง ชนิด “ช้างชนช้าง” มีสิทธิอุบัติขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ย่อมได้...
อย่างไรก็ตาม...ทางการอิหร่านเขาได้ออกมาปฏิเสธอย่างเป็นทางการไปเรียบโร้ยย์ย์ย์แล้ว ว่าไม่ได้เกี่ยวอะไรด้วยเลยกับการจัดหาอาวุธร้ายแรงอย่างจรวดพิสัยใกล้ให้กับพวกกบฏฮูตี รวมทั้งโฆษกของกองทัพเยเมน “พันเอกอาซิส ราเชด” (Aziz Rashed) ก็ได้ออกมาแจกแจงรายละเอียดให้เห็นเป็นขั้นๆ ว่า จรวดประเภทนี้นั้น...กองทัพเยเมนเองนั่นแหละที่ได้พยายามพัฒนายกระดับศักยภาพมาตามลำดับ โดยอาศัยต้นแบบที่ได้มาจากจรวด “SCUD-B” “SCUD-C” ซึ่งโซเวียต รัสเซียเคยทิ้งเอาไว้ให้ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1990 หรือตั้งแต่สงครามเย็นยังไม่ยุติ รวมทั้งจรวด “Hwasong-5 และ 6” ที่ได้รับอภินันทนาการจากเกาหลีเหนือตั้งแต่ปี ค.ศ. 2000 นำมาปรับปรุงเปลี่ยนแปลง ยกระดับให้กลายเป็น “Volcano 1” จนถึง “Volcano 2” หรือ “Borkan H2” อันมีพิสัยทำการประมาณ 1,400 กิโลเมตร (870 ไมล์) เพื่อเอาไว้ใช้แก้แค้น ล้างแค้นต่อสิ่งที่รัฐบาลซาอุฯ ได้กระทำย่ำยีดินแดนเยเมน ตลอดช่วง 2 ปีที่ผ่านมา...
และอันที่จริงจรวดที่ว่านี้...ก็ถูกนำมาใช้ยิงใส่หัวกบาลของกองทัพซาอุฯ ไม่รู้กี่เที่ยวต่อกี่เที่ยวมาแล้ว ไม่ใช่แค่เฉพาะครั้งนี้ หรือครั้งที่ยิงใส่สนามบิน “King Khalid” ตั้งแต่ปีที่แล้วในช่วงเดือนกันยายน ค.ศ. 2016 ก็เคยยิงใส่เมือง “Ta’if” ที่อยู่แถวๆ ด้านตะวันออกเฉียงใต้ของกรุงริยาด และช่วงวันที่ 18 มีนาคมปีนี้ ค.ศ. 2017 ก็เคยงัดมาใช้ถล่มสนามบิน “King Salman” ใกล้ๆ กรุงริยาดอีกเช่นกัน ไปจนช่วงวันที่ 22 กรกฎาคม 2017 ก็งัดเอามายิงใส่ท่าเรือ “Yanbu” ในเมืองเมดินาห์ด้านตะวันตกเฉียงเหนือของกรุงเจดดาห์ ส่งผลให้โรงกลั่นน้ำมันของบริษัท “Aramco” เกิดอาการเตร๊ง-เตรง-เตร่ง-ต๋อย ไฟไหม้มูลฝอยดังพรึ่บบ์บ์มาแล้วคราวหนึ่ง แถมโฆษกกองทัพกบฏเยเมนยังคุยทับไว้อีกด้วยว่า กำลังได้พัฒนาจรวดตอร์ปิโดชนิดใหม่ ที่มีชื่อว่า “Al-Manbub” เพื่อเอาไว้สอยเรือรบ เรือลาดตระเวนของกองทัพซาอุฯ ที่พยายามปิดอ่าว ปิดเมืองท่าต่างๆ กันโดยเฉพาะ..
แต่ก็นั่นแหละ...ไม่ว่ากองทัพเยเมนจะประดิษฐ์คิดค้นอาวุธร้ายแรงเหล่านี้ขึ้นมาเองหรือไม่ อย่างไร การที่มกุฎราชกุมารเจ้าชาย “MbS” ว่าที่กษัตริย์องค์ใหม่แห่งราชอาณาจักรซาอุฯ ได้หยิบยกเอาสิ่งเหล่านี้ไปใช้เป็นข้อกล่าวหารัฐบาลอิหร่าน ถึงขั้น “ถือเป็นการรุกรานทางทหารโดยตรงต่อซาอุฯ” ก็เลยส่งผลให้ “บรรยากาศการเผชิญหน้าทางทหาร” ในภูมิภาคตะวันออกกลางทั้งภูมิภาค...ร้อนฉ่า!!! ขึ้นมาโดยทันที ส่วนจะนำไปสู่ฉากเหตุการณ์ ฉากสถานการณ์อย่างไรต่อไปนั้น อันนี้...เลยต้องขออนุญาตลากต่อไปอีกซักวัน ด้วยประการละฉะนี้...แล...