เมื่อ 2 ปีที่แล้ว...หรือเมื่อช่วงเดือนกันยายนปี ค.ศ. 2014 ขณะเดินทางไปเยี่ยมเยียนสุสาน “Redipuglia” สถานที่ฝังศพผู้สูญเสียชีวิตจากสงครามโลกครั้งที่ 1 ซึ่งตั้งอยู่บริเวณด้านตะวันออกเฉียงเหนือของอิตาลี ใกล้ชายแดนสโลเวเนีย พระสันตะปาปา “ฟรานซิส” ประมุขสูงสุดแห่งศาสนจักรคาทอลิก ได้ “ฟันธง” ลงไปตั้งแต่ครั้งนั้น ว่า “สงครามโลกครั้งที่ 3” ได้อุบัติขึ้นแล้ว ภายใต้รูปแบบที่พระองค์ให้คำนิยามไว้ว่า “สงครามโลกแบบทีละส่วน” (A piecemeal World War 3)...
ส่วนเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน ค.ศ. 2017 ที่เพิ่งผ่านไปไม่กี่วัน ขณะเดินทางไปยังสุสาน “Sicily- Rome American” ณ เมือง “Nettuno” ห่างไปทางด้านใต้ของกรุงโรม ประเทศอิตาลี เพื่อคารวะหลุมฝังศพบรรดาทหารอเมริกันเชื้อสายยิว จำนวน 7,860 ราย ซึ่งตายขณะพยายามปลดปล่อยเกาะซิซิลี ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ระหว่างปี ค.ศ.1943-1944 คราวนี้...พระองค์ไม่ได้คิดจะชักธง ฟันธง ใดๆ เอาเลยแม้แต่น้อย แต่หันไป “สวดอ้อนวอน” กันแทนที่ ตามรายงานข่าวของสำนักข่าวต่างประเทศหลายต่อหลายสำนัก ได้ถ่ายทอดคำวิงวอนของพระองค์ในแบบวรรคต่อวรรค ประโยคต่อประโยค ระบุไว้ว่า... “Please Lord, stop. No more wars. No more of these useless massacres. Today that the world once more is at war and is preparing to go even more forcefully into war.” หรือ...ได้โปรดเถิดพระผู้เป็นเจ้ากรุณาหยุดยั้งอย่าให้เกิดสงครามขึ้นมาอีกเลย อย่าให้การเข่นฆ่าล้างผลาญอันไร้ประโยชน์อุบัติขึ้นมามากมายเกินไปกว่านี้ ณ วันนี้ สงครามได้หวนกลับคืนสู่โลกอีกครั้งแล้ว และยังมีการตระเตรียมเพื่อนำไปสู่สงครามที่หนักยิ่งขึ้นไปอีก...อะไรประมาณนั้น...
เรียกว่า...ถึงจะไม่ใช่นักวิเคราะห์ นักคาดการณ์ แต่ด้วยการอาศัย “มุมมองทางศาสนา” บรรยากาศความขัดแย้งซึ่งกำลังเป็นไปในโลกทุกวันนี้ ตามสายตาของประมุขทางจิตวิญญาณของชาวคาทอลิก คงไม่ได้ต่างอะไรไปจาก “สงครามโลก” เราดีๆ นี่เอง!!! และเป็นสงครามที่พระสันตะปาปา “ฟรานซิส” ทรงเน้นไว้ด้วยว่า... “เมื่อข้าพเจ้าพูดสงคราม ณ ขณะนี้ ข้าพเจ้าหมายถึงสงครามแห่งผลประโยชน์ เพื่อให้ได้มาซึ่งเงินทองและทรัพยากร ไม่ใช่สงครามศาสนา เพราะทุกๆ ศาสนาล้วนแล้วแต่ต้องการสันติภาพ มีแต่ผู้ไม่มีศาสนาเท่านั้น ที่ต้องการสงคราม” แต่โดยกลุ่มคนที่ว่านี้นี่แหละ ที่พระสันตะปาปาได้สรุปว่า... “กำลังพยายามทำทุกสิ่งทุกอย่าง...เพื่อประกาศสงคราม และนำพาผู้คนเข้าสู่ความขัดแย้งครั้งใหญ่ โดยไม่ได้สนใจเลยว่า สุดท้ายแล้ว...สงครามนั่นแหละที่จะทำลายพวกเขาเอง รวมทั้งทำลายทุกสิ่งทุกอย่างอีกด้วย...”
หลังจากได้วางดอกกุหลาบสีขาวไว้บนหลุมศพผู้สูญเสียชีวิต ณ สุสานในเมือง “Nettuno” เรียบร้อยแล้ว ว่ากันว่าพระสันตะปาปายังได้บันทึกข้อความสั้นๆ ลงในสมุดเยี่ยม มีใจความว่า... “ความเกลียดชัง-ความตาย-และความอาฆาตพยาบาท....นี่แหละคือผลไม้แห่งสงคราม” โดยก่อนหน้านั้นเมื่อช่วงวันจันทร์ที่ 30 ตุลาคม แม้พระองค์ไม่ได้ทรงแสดงออกอย่างตรงไป-ตรงมา ถึงความวิตกกังวลต่อสถานการณ์ความตึงเครียดซึ่งกำลังดำเนินอยู่ในคาบสมุทรเกาหลีทุกวันนี้ แต่ด้วยคำพูดที่ระบุไว้ว่า “มวลมนุษย์ทั้งหลายกำลังตกอยู่ในความเสี่ยงแห่งการฆ่าตัวตาย” ใครต่อใครเลยนำไปแปลความประมาณว่า...ย่อมหนีไม่พ้นไปจากคำพูดอันเกี่ยวโยงไปถึงบรรยากาศ “สงครามปาก” ระหว่าง “ทรัมป์บ้า” กับ “คิมน้อย” ที่ต่างฝ่ายต่างยังคงใส่กันแบบสุดฤทธิ์ สุดหลอด อันอาจนำไปสู่ “สงครามจริง” ขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ย่อมได้!!! และอาจด้วยเหตุเพราะความวิตกกังวลเช่นนี้ จึงทำให้พระองค์เพียรพยายามพบปะพูดคุยกับผู้ที่พระองค์เห็นว่า อาจพอมีส่วนช่วยเหลือเยียวยาสถานการณ์ให้เบาๆ ลงได้บ้าง ไม่ว่าเจ้าหน้าที่ระดับสูงสหประชาชาติ ผู้บริหารองค์กรนาโต ไปจนกระทั่งบรรดาผู้ที่ได้รับรางวัลโนเบล ไพรซ์ สันติภาพ จำนวน 11 ราย...
แต่ก็นั่นแหละ...ขณะที่ผู้นำทางศาสนาอย่างประมุขแห่งศาสนจักรคาทอลิกเพียรพยายามหาทางหยุดยั้งสงครามในทุกๆ รูปแบบ ไม่ว่าตั้งแต่การออกมาให้สติ การกล่าวเตือนแบบย้ำแล้ว ย้ำเล่า การพบปะพูดคุยกับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ไปจนถึงขั้นต้องหันมาสวดวิงวอนต่อพระผู้เป็นเจ้าเอาเลยก็ตาม ฯลฯ แต่ผู้ที่อาจมีศาสนา...เพียงไม่รู้ว่านับถือ ศรัทธามากน้อยขนาดไหน อย่างเช่น “ทรัมป์บ้า” เป็นต้น ก็กำลังได้เวลา “เดินสาย”ทัวร์เอเชีย 5 ประเทศ ภายในช่วงระยะเวลา 11 วัน ไล่จากญี่ปุ่น ไปเกาหลีใต้ ไปจีน เวียดนาม และฟิลิปปินส์ และโดยคำพูดประโยคแรกเมื่อพบหน้าเจอตา นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นถ้าว่ากันตามรายงานข่าวของ “Japan Times” ก็คือคำพูดที่ว่า... “ผมไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่าเหตุใดประเทศที่มีนักรบซามูไรอย่างญี่ปุ่น ถึงไม่คิดสอยจรวดเกาหลีเหนือ (ที่ยิงข้ามประเทศ) ลงมา” นี่...ฟังแล้วเปรี้ยวหัวแม่เท้าขึ้นมาทันทีเลยมั้ยทั่น!!!
คือไม่ได้เป็นคำพูดที่มาจากความไม่เข้าใจต่อ “กรรมวิธีทางเทคนิค” ของระบบป้องกันขีปนาวุธ “เอกิส” (Aegis Combat System) ซึ่งญี่ปุ่นมีไว้ป้องกันตัวโดยการซื้อมาจากอเมริกาเท่านั้น แต่ดูจะหนักไปทางคำพูดเพื่อพยายามหาช่องยัดเยียดขายระบบป้องกันขีปนาวุธที่มีประสิทธิภาพสูงยิ่งขึ้นไปกว่านั้น แบบกะจะได้ทั้งกล่อง ทั้งเงิน อะไรประมาณนั้น ไม่ต่างอะไรไปจาก “เซลส์แมน” ใน “สงครามแห่งผลประโยชน์”ตามที่พระสันตะปาปาท่านให้คำนิยามเอาไว้นั่นเอง แถมระหว่างกำลังเกลี้ยกล่อม โน้มน้าวให้ลิงหลับ ยังเพิ่มเอฟเฟกต์ สร้างสีสันบรรยากาศ ด้วยการสั่งให้เครื่องบินทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ B-1B สองลำ บินจากฐานทัพเกาะกวมมาฉวัดเฉวียนเหนือน่านฟ้าเกาหลีซะอีกด้วย เจอเข้ากับลีลาของ “ผู้ไม่มี(ศรัทธา)ศาสนา” เช่นนี้...มีแต่ต้องหันไปสวดภาวนาวิงวอนต่อ “พระผู้เป็นเจ้า” เท่านั้นเอง ถึงพอช่วยเหลือเยียวยาอะไรได้มั่ง...