xs
xsm
sm
md
lg

ปฏิรูปซาอุฯ กับปฏิรูปแบบไทยๆ

เผยแพร่:   โดย: ทับทิม พญาไท

<b>มกุฎราชกุมาร เจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน</b>
ออกจะละล้าละลังมิใช่น้อย...สำหรับการตัดสินใจว่าจะเปิดเข่งไก่บินออกไปนอกบ้าน หรือจะนั่งเฝ้าเล้าไก่เพื่อรอดูการปรับ ครม.ในช่วง “ก๊อกสุดท้าย” กันดี คือนอกบ้านนั้น...ก็เผอิญมีการปรับ ครม. ปรับดุลอำนาจ ที่ออกจะน่าตื่นตา ตื่นใจ มิใช่น้อย ถือเป็นข่าวระดับโลกเอาเลยก็ว่าได้ นั่นคือข่าวคราวการเลื่อน ลด ปลด ย้าย การกวาดล้างจับกุมใครต่อใครของว่าที่กษัตริย์ซาอุดีอาระเบีย มกุฎราชกุมาร “MbS” (Prince Mohammad bin Salman) ชนิดเหี้ยนเตียน โล่งโจ้ง ไม่ได้สนใจความเป็นเพื่อน พ้อง น้องพี่ หรือแม้แต่ความเป็นญาติระดับคลานตามๆ กันมาเอาเลยแม้แต่น้อย...

จะด้วยความต้องการที่จะนำพาราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบียไปสู่ความเป็น “อิสลามสายกลาง” หรือจะด้วยเหตุผลกลใดก็แล้วแต่ การหยิบเอาข้อหา “คอร์รัปชัน” มาใช้ในการกวาดล้าง “11 เจ้าชาย” อดีตรัฐมนตรี นักธุรกิจ และแม้แต่ผู้บัญชาการทหารจำนวนไม่น้อยกว่า 38 ราย จับเอาไปควบคุมตัวไว้ที่โรงแรม “Ritz Carlton Hotel” กลางกรุงริยาด โดยคำสั่งของเจ้าชาย “MbS” ในคราวนี้ ไม่เพียงแต่ส่งผลสะเทือนเลื่อนลั่นไปทั่วทั้งราชอาณาจักรซาอุฯ ยังส่งผลต่อเนื่องไปถึงนโยบายต่อภูมิภาคตะวันออกกลางทั้งภูมิภาคอีกด้วย หรือกลายเป็นตัวอธิบายว่าความเป็น “อิสลามสายกลาง” ตามแบบฉบับของว่าที่กษัตริย์องค์ใหม่ของซาอุฯ นั้น ยังไงๆ...ย่อมหนีไม่พ้นต้องเปิดศึกกับประเทศคู่กัดอย่าง “อิหร่าน” ที่ไม่ว่าจะถูกจัดเป็นอิสลามสายไหนต่อสายไหนก็แล้วแต่...

เพราะผู้ที่ถูกขจัดกวาดล้างภายในราชอาณาจักรซาอุฯ คราวนี้ อันที่จริง...ต้องเรียกว่า “กลางยิ่งกว่ากลาง” หรือออกไปทาง “อิสลามสายหย่อน” เอาเลยก็ว่าได้ ไม่ได้ออกอาการสุดโต่งรุนแรงใดๆ มาโดยตลอด โดยเฉพาะรายอย่างเจ้าชาย “อัล-วาลีด บิน ทาลาล” (Prince Al-Waleed bin Talal) ที่เพิ่งถูกจัดให้เป็น 1 ใน 45 บุคคลที่รวยที่สุดในโลก ตามการจัดอันดับของนิตยสาร “Forbes” เมื่อปี ค.ศ. 2017 นี่เอง มีหุ้นส่วนอยู่ในบรรษัทดังๆ ของตะวันตก ไม่ว่า Twitter, Apple, Citigroup, โรงแรม Four Seasons ไปจนการร่วมหุ้นกับเจ้าพ่อสื่อฯ อย่าง “รูเพิร์ต เมอร์ดอค” (Rupert Murdoc) ในธุรกิจสื่อสารนานาชนิด แต่สุดท้ายยังมิวายโดน “สอย” เอาดื้อๆ เล่นเอามูลค่าหุ้นในเครือข่ายบริษัทต่างๆ ร่วงไปถึง 7.6 เปอร์เซ็นต์ ทันทีที่เจ้าชายถูกรวบเข้าซังเต...
<b>เจ้าชายอัล-วาลีด บิน ทาลาล</b>
ส่วนเจ้าชายรายอื่นๆ ก็คงไม่ได้ต่างไปจากกัน...คือไม่ได้เกี่ยวอะไรกับความสุดโต่ง-ไม่สุดโต่ง รุนแรง-ไม่รุนแรง แต่ถ้าหากดันไป “ขวางทางเท้า” การขึ้นสู่อำนาจแบบเบ็ดเสร็จของมกุฎราชกุมาร “MBS” ขึ้นมาแล้วล่ะก็ ล้วนมีสิทธิหงายท้องตึงไปได้ด้วยกันทั้งสิ้น รวมไปถึงผู้บัญชาการกองทัพเรือ อดีตรัฐมนตรีคลัง ผู้บริหารบริษัทลงทุนที่ใกล้ชิดกับราชวงศ์อย่าง “บริษัท Saudi Binladin Group” ต่างถูกกวาด ถูกต้อนให้ไปนั่งพัก นอนพักอยู่ในโรงแรมริตซ์ กลายสภาพเป็น “อิสลามสายหย่อน” หรือ “อิสลามสายเหี่ยว” อย่างมิอาจปฏิเสธและหลีกเลี่ยงได้...

แต่ขณะเดียวกัน...ความหมายของการเป็น “อิสลามสายกลาง” ของมกุฎราชกุมาร “MbS” ได้ถูกสะท้อนให้เห็นว่ามีแนวโน้มออกไปในแนวไหนกันแน่ เมื่อช่วงระหว่างที่นายกรัฐมนตรีเลบานอน “นายซาอัด อัล-ฮาริรี” (Saad al-Hariri) ผู้ได้ชื่อว่ามีความใกล้ชิดกับรัฐบาลซาอุฯ อย่างเป็นพิเศษ กำลังเดินทางไปเยือนซาอุฯ จะด้วยแรงกดดันแบบไหน อย่างไร ก็มิอาจสรุปได้ชัดเจน แต่ส่งผลให้นายกรัฐมนตรีผู้นี้ประกาศ “ลาออก” จากความเป็นนายกรัฐมนตรีเลบานอน ด้วยข้ออ้างว่าเพราะหวาดเกรงอิทธิพลของอิหร่าน ที่เข้ายึดกุมอำนาจในเลบานอนได้หมดแล้ว ผ่านทางกลุ่มก้อนองค์กรมวลชนอย่าง “เฮซบอลเลาะห์” (Hezbollah) หรือพูดง่ายๆ...เท่ากับเป็นการ “จุดประกายความขัดแย้ง” ระหว่างกลุ่มประเทศอิสลามในตะวันออกกลางขึ้นมาใหม่ โดยอาศัยข้ออ้างของความเป็น “อิสลามสายกลาง” หรือ “สายตึง” “สายหย่อน” อีกนั่นแหละ มาใช้เป็นเหตุผลในการเผชิญหน้าระหว่าง 2 ประเทศคู่กัดในตะวันออกกลาง หรือระหว่างซาอุฯ กับอิหร่าน โดยมีอภิมหาอำนาจสูงสุดอย่างอเมริกาและพันธมิตรอิสราเอลถือหางเอาไว้ด้านหนึ่ง ขณะที่อีกด้านหนึ่งมีรัสเซีย-จีน-อิรัก-ตุรกี คอยถ่วงๆ รั้งๆ ไม่ให้อะไรต่อมิอะไรมันเตลิดเปิดเปิงมากมายเกินไปกว่านี้...

สรุปง่ายๆ ว่า...สุดท้าย ความพยายามปฏิรูปประเทศ เพื่อนำพาราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบียไปสู่ความเป็น “อิสลามสายกลาง” ตามที่เป็นข่าวคราวเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ก็คงไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าความพยายาม “เถลิงอำนาจแบบเบ็ดเสร็จสมบูรณ์” ของว่าที่กษัตริย์องค์ใหม่อย่างเจ้าชาย “MbS” นั่นเอง โดยมุ่งที่จะใช้อำนาจที่ว่าไปสู่การเผชิญหน้ากับประเทศเพื่อนบ้านใกล้เคียง หรือนำไปสู่ “สงคราม” แทนที่จะเป็น “สันติภาพ” อันที่พึงปรารถนาของบรรดาผู้ใฝ่ใจในศาสนาใดๆ ก็ตาม หรือผู้ยึดมั่นใน “ธรรมะ” โดยทั่วไป...

ด้วยเหตุนี้...ไม่ว่าโดย “กรรมวิธี” หรือ “จุดมุ่งหมาย” ในการปฏิรูปของราชอาณาจักรซาอุฯ ช่วงนี้ คงต่างไปจากบ้านเราแบบคนละเรื่อง คนละม้วน เพราะสำหรับประเทศเล็กๆ อย่างไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮานั้น คงไม่ได้คิดที่จะฝันเฟื่อง คิดเล่นงานใครต่อใคร พร้อมที่จะอยู่ร่วมกับเพื่อนบ้านโดยสันติมาโดยตลอด ดังนั้น...ความพยายามที่จะ “ปฏิรูปประเทศ” ให้อะไรต่อมิอะไรดีขึ้นกว่าเท่าที่เคยเป็นมาเมื่อครั้งอดีต เลยอาจไม่ถึงกับต้องอาศัยลูกเหี้ยมมากมายซักเท่าไหร่ บรรดาเพื่อนพ้อง น้องพี่ ญาติมิตรบริวาร จึงพออยู่ๆ กันไปได้ ไม่ต้องถูกขจัดกวาดล้างให้หมดเกลี้ยงลงไปเป็นแผงๆ เหมือนอย่างการปฏิรูปของซาอุฯ แต่อย่างใด แนวโน้มที่จะค่อยๆ เจ๊าะๆแจ๊ะๆ ค่อยๆ รูดมา-รูดไป ชักเข้า-ชักออกกันไปเรื่อยๆ ตามประสาไทยๆ จึงกลายเป็นข้อเท็จจริงอันมิอาจปฏิเสธได้ ซึ่งก็เอาเถอะ...ไม่ว่าจะรูดแบบไหน ปฏิรูปแบบไหน อย่างน้อย...ขอให้พอ “ออกัสซั่ม” ได้มั่ง แม้ไม่ถึงกับพลั่กๆๆ ก็ตามที...
กำลังโหลดความคิดเห็น