xs
xsm
sm
md
lg

ซาอุฯ กับ “อิสลามสายกลาง” (2)

เผยแพร่:   โดย: ทับทิม พญาไท


ถ้าหากเราอยากจะเข้าใจความเป็น “สายกลาง-ไม่สายกลาง” ของราชอาณาจักรซาอุฯ ให้ชัดๆ คงต้องย้อนอดีตไปถึงช่วงที่ราชอาณาจักรแห่งนี้ยังไม่ปรากฏเป็นรูป เป็นร่าง อยู่บนแผนที่โลกเอาเลยโน่นแหละ คือตั้งแต่ปฐมบรมกษัตริย์แห่งราชวงศ์อัล ซาอุด อย่าง “โมฮัมเหม็ด บิน ซาอุด” (Muhammad Bin Saud) ยังเป็นแค่เจ้าเมืองเล็กๆในทะเลทรายอาหรับ อย่างเมือง “ดีริยาห์” (Al-Diriyah) และเผอิญได้โคจรมาเจอกับนักปฏิรูปศาสนาอิสลามประเภทสุดลิ่มทิ่มกระดาน หรือ “สุดโต่ง” อย่าง “โมฮัมเหม็ด บิน อับดุล วะฮ์ฮาบ” (Muhammad ibn Abd al-Wahhab) ผู้ก่อตั้ง “ลัทธิวะฮ์ฮาบี” (Wahhabism) ที่ถูกเนรเทศมาจากเมือง “อูยานา” (Al-Uyayna) เนื่องจากไปสั่งสาวกผู้ศรัทธาไล่รื้อทำลายสุสานที่ฝังศพมิตรสหายของพระศาสดา “นบีมูฮัมหมัด” ซะจนแหลกยับเยินแทบไม่เหลือซากเอาเลยถึงขั้นนั้น...

การพบปะระหว่างผู้นำศาสนจักรที่กำลังเร่าร้อนวิชาอย่าง “โมฮัมเหม็ด อับดุล วะฮ์ฮาบ” กับผู้นำอาณาจักรอย่าง “โมฮัมเหม็ด บิน ซาอุด” ซึ่งกำลังอยากขยายขอบเขตเมืองเล็กๆ ให้กลายเป็นราชอาณาจักรอันยิ่งใหญ่เกรียงไกรขึ้นมาให้จงได้นี่เอง จึงทำให้เกิด “ข้อตกลง” ที่ส่งผลให้เกิดการสมประโยชน์ของทั้งสองฝ่าย อันเป็นข้อตกลงที่ “นาทานา เจ. เดอลอง-บาส” (Natana J. Delong-bas) ผู้เขียนหนังสือเรื่อง “Wahhabi Islam” ได้สรุปเอาสั้นๆ ว่า... “ฝ่ายหนึ่งตกลงที่จะอาศัยความเลื่อมใสศรัทธาในทางศาสนา สนับสนุนอีกฝ่ายหนึ่งให้สามารถยึดครองและขยายดินแดนออกไปให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ในขณะที่อีกฝ่ายต้องให้การปกป้อง คุ้มครอง และสนับสนุนให้มีการเผยแพร่แนวคิดปฏิรูปศาสนาอิสลามตามแนวทางวะฮ์ฮาบี ในทุกๆ พื้นที่ที่ตัวเองสามารถยึดครอง หรือเข้าไปมีอิทธิพลได้...”

และข้อตกลงที่ว่านี้...ไม่ได้แค่คำสัญญาด้วยลมปากไปวันๆ แต่ถูกทำให้เป็น “พันธสัญญา” ที่เหนียวแน่นมาตั้งแต่แรก ด้วยการจับคู่แต่งงานในระหว่างครอบครัวตระกูล “อัล ซาอุด” กับตระกูลของ “อับดุล วะฮ์ฮาบ” ที่เปลี่ยนชื่อมาเป็นต้นตระกูล “อัล อัลเชค” (Al al-Shaykh) ตราบเท่าทุกวันนี้ นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1744 มาจนตลอดช่วงที่ราชอาณาจักรซาอุฯ ปรากฏตัวขึ้นมาบนแผนที่โลกเกือบ 200 ปีมาแล้ว จนเป็นที่รับรู้กันโดยทั่วไปว่า บรรดารายได้ ความมั่งคั่งของราชอาณาจักรซาอุฯ ไม่ว่าจะมาจากไหนก็ตาม จะต้องถูกตัดแบ่งเป็นเงินบริจาคให้กับการสนับสนุนและเผยแพร่ลัทธิวะฮ์ฮาบีไปยังโลกอิสลามส่วนต่างๆ ไม่น้อยไปกว่า 2.5 เปอร์เซ็นต์ขึ้นไป และแม้แต่ทุกวันนี้...ในคณะรัฐบาลของซาอุดีอาระเบีย จะเต็มไปด้วยบรรดาเจ้าชายแห่งตระกูลอัล ซาอุด เข้ายึดครองตำแหน่ง หน้าที่รับผิดชอบต่างๆ เช่น มหาดไทย กลาโหม คลัง พลังงานฯลฯ แต่บรรดาหน่วยงาน กระทรวงทบวงกรมที่เกี่ยวข้องกับด้านจิตใจ เช่น กระทรวงยุติธรรม วัฒนธรรม ศาสนา ฯลฯ ก็ยังถูกเว้นพื้นที่ให้กับบรรดาลูกหลานแห่งตระกูล “อัล อัลเชค” ของ “อับดุล วะฮ์ฮาบ” มาโดยตลอด...

พูดง่ายๆ ว่า...ราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบียนั้น ถือเป็น “อิสลามสุดโต่ง” มาตั้งแต่แรก ความพยายาม “ย้อนกลับไปหาสิ่งที่เราเคยเป็นมาก่อน” ตามพระดำรัสขององค์มกุฎราชกุมาร เจ้าชาย “MBS” นั้น จึงไม่ได้มีอะไรเกี่ยวพันกับความเป็น “อิสลามสายกลาง” ใดๆ เอาเลยแม้แต่น้อย คืออาจออกไปทาง “กลางแบบหุ่นยนต์” หรือ “กลางแบบหะรูหะรา” ที่อุบัติขึ้นท่ามกลางความทะเยอทะยานอยากจะสร้างเมืองไฮเทคให้ใหญ่กว่ามหานครนิวยอร์กประมาณ 33 เท่า อะไรประมาณนั้น แต่ในแง่ของ “ความเป็นอิสลาม” แล้ว หนีไม่พ้นต้อง “สุดโต่ง” ไปตามแบบฉบับของ “ลัทธิวะฮ์ฮาบี” อย่างมิอาจปฏิเสธได้ อันมีลักษณะอาการตามที่ถูกอธิบายไว้ในหนังสือเอ็นไซโคพีเดีย นั่นแหละว่า...

“วะฮ์ฮาบี อิสลาม คือขบวนการแนวคิดที่เคลื่อนไหวอยู่ภายในศาสนาอิสลาม ซึ่งถูกก่อตั้งอย่างเป็นรูป เป็นร่างขึ้นมาในช่วงศตวรรษที่ 18 โดย โมฮัมเหม็ด อับดุล วะฮ์ฮาบ ในพื้นที่แถบภาคกลางของอาระเบีย แนวคิดนี้มุ่งเน้นหนักในเรื่องการแสดงออกถึงความเคารพศรัทธาต่อพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งมีอยู่พระองค์เดียว และหวังที่จะผลักดันให้ชาวมุสลิมหันกลับไปยึดมั่นในพิธีกรรม คำสอน อันมีมาตั้งแต่จุดเริ่มต้นของศาสนาอิสลาม พวกวะฮ์ฮาบีมองว่า บรรดามุสลิมส่วนใหญ่นั้น ได้พากันละทิ้งศรัทธาดั้งเดิมที่มีต่อพระผู้เป็นเจ้าพระองค์เดียว และได้แสดงออกถึงอาการเบี่ยงเบน ผิดเพี้ยนไปสู่การแสวงหาศรัทธาใหม่ๆ อันเป็นสิ่งซึ่งควรได้รับการปฏิเสธ ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นพิธีกรรม คำสอน หรือการปฏิบัติใดๆ ที่แตกต่างไปจากถ้อยคำที่ปรากฏอยู่ในพระคัมภีร์ ตลอดไปจนการแสดงความเคารพบูชาต่อสิ่งอื่น ที่ไม่ใช่พระผู้เป็นเจ้า เช่น การกราบไหว้บูชาสุสาน ที่ฝังศพของผู้นำทางศาสนาในอดีต ในลักษณะที่ไม่ได้แตกต่างไปจากการบูชาเทพเจ้า วะฮ์ฮาบีมุ่งที่จะสอนให้มุสลิมกลับไปยึดมั่นต่อถ้อยคำในแต่ละตัวอักษรของพระคัมภีร์ และความหมายที่ถูกถ่ายทอดออกมาในฐานะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพื่อทำให้มุสลิมทั้งหลายเกิดความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน อันจะนำไปสู่การสร้าง...รัฐอิสลามบริสุทธิ์...โดยมีกฎหมายอิสลามเป็นเครื่องมือในการปกครอง วะฮ์ฮาบีต่อต้านวิถีชีวิตที่หรูหรา ฟุ่มเฟือย และปฏิเสธที่จะนำเอาวัฒนธรรมจากสังคมใดๆ ก็ตาม เข้ามาผสมปนเปื้อนกับสังคมมุสลิม อีกทั้งยังเชื่อด้วยว่า มุสลิมรายใดก็ตามที่ไม่ยอมรับแนวคิดของวะฮ์ฮาบี ถือเป็นพวกนอกรีต โดยเฉพาะมุสลิมชีอะห์...”

นี่...กลาง-ไม่กลาง โต่ง-ไม่โต่ง คงต้องไปพิจารณากันเอาเองนั่นแหละทั่น ด้วยเหตุนี้การประกาศนำพาราชอาณาจักรซาอุฯ ไปสู่ความเป็น “อิสลามสายกลาง” ของว่าที่กษัตริย์องค์ใหม่แห่งซาอุฯ จะส่งผลให้ภูมิภาคตะวันออกกลางอันถือเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญระดับโลก เป็นไปในรูปไหน อย่างไร อันนี้...คงต้องขออนุญาตลากต่อไปอีกซักวัน...
กำลังโหลดความคิดเห็น