ความเป็นชาติมหาอำนาจขาใหญ่เจ้าโลกมาหลายทศวรรษของสหรัฐอเมริกาทำให้ปรับนิสัยอยู่ร่วมโลกกับประเทศอื่นๆ ลำบาก ยิ่งมองตัวเองว่าเป็นดินแดนที่ใครๆ ก็อยากมาสร้างชีวิตใหม่ ขุดทองตามแบบ “ความฝันอเมริกัน” ด้วยแล้ว...
บางครั้งสถานการณ์ความตึงเปรี๊ยะในกฎระเบียบทำให้ผู้ใหญ่ผู้โตหน้าแหกหมอบอกว่าเย็บลำบาก เยียวยาปัญหาใจของผู้ถูกกระทำยิ่งยาก ต้องใช้เวลาเพื่อให้ความหมางเมินจางหาย และไม่ทำให้เกิดปัญหาระหว่างประเทศ
ระบบการบริหารบ้านเมืองของสหรัฐฯ ทำให้หน่วยงานต่างๆ ทำงานแบบ “ต่างคนต่างใหญ่” มีอิสระไม่ขึ้นตรงต่อกัน แถมยังเกิดปัญหาเรื่องปีนเกลียวระหว่างองค์กรด้วยแล้ว ทำให้มีผลกระทบแรงในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
ล่าสุด มีเรื่องความใหญ่ ตึงแบบไม่ยอมหย่อน ทำให้คนมีสีอเมริกันระดับสูงสุด นั่นคือประธานคณะเสนาธิการร่วม พลเอกโจเซฟ เอฟ. ดันฟอร์ด จูเนียร์ น่าจะอารมณ์เดือดปุดๆ เมื่อหน่วยงานสหรัฐฯ เองต่างแย่งรักษาความเข้มของกฎ
พลเอกดันฟอร์ดได้มีหนังสือเชิญผู้นำทหารของอินโดนีเซีย พลเอกกาโตต นูร์มันตโย ให้ไปเยือนกรุงวอชิงตัน ดีซี ช่วงต้นสัปดาห์เพื่อปรึกษางานด้านความมั่นคงในการรับมือกับปัญหากลุ่มการเมืองหัวรุนแรง ซึ่งขยายตัวในย่านอาเซียน
ไม่กี่วันก่อนหน้านี้ก็มีการประชุมคณะรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียน มีรัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ มาร่วมด้วย พร้อมกับรัฐมนตรีคู่เจรจาจากชาติอื่นๆ เพื่อคุยเรื่องปัญหาเกาหลีเหนือ ทะเลจีนใต้ การก่อการร้ายบนเกาะมินดาเนาของฟิลิปปินส์
ปัญหาหน้าแตกเกิดเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา เมื่อท่านผู้นำกองทัพอินโดนีเซียและภรรยา เช็กอินกับสายการบินเอมิเรตส์ที่สนามบินกรุงจาการ์ตา ก็ได้รับแจ้งจากสถานทูตสหรัฐฯ ที่นั่นว่าการเดินทางอาจมีปัญหาล่าช้าเพราะเรื่องความมั่นคง
การเดินทางไปสหรัฐฯ จากบางประเทศมักมีเจ้าหน้าที่สถานทูตไปประจำอยู่ที่เคาน์เตอร์เช็กอินสายการบิน เพื่อดูหนังสือเดินทางและวีซ่าของผู้ที่จะไปสหรัฐฯ เป็นมาตรการตรวจสอบจุดต้นทางเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาถูกปฏิเสธไม่ให้เข้าเมือง
ทางการสหรัฐฯ เส้นกระตุกเรื่องปัญหาการก่อการร้าย ต้องออกมาตรการเข้ม ห้ามนั่นนี่โน่น ใครอยากไปก็ต้องยอมทน ตรวจหนังสือเดินทางและวีซ่าว่าปลอมหรือไม่ คนเดินทางมีประวัติหน้าสงสัยอย่างไร ยิ่งคนมุสลิมแล้วยิ่งโดนตรวจมาก
เรื่องที่เกิดกับนายพลเอกอินโดนีเซีย ไม่รู้ว่าทำกันอีท่าไหน มีอย่างน้อย 3-4 นายหน่วยงานสหรัฐฯ ที่ให้เกิดปัญหา ทั้งศุลกากร หน่วยควบคุมชายแดน และกระทรวงการต่างประเทศ สะสางเรื่องระหว่างองค์กรได้ไม่ทันก่อนเครื่องบินออก
ทำให้ท่านพลเอกอิเหนาไม่ได้ขึ้นเครื่องของสายการบินเอมิเรตส์! กว่าฝ่ายสหรัฐฯ จะเคลียร์กันได้ เครื่องบินก็ออกไปแล้ว แม้จะมีความพยายามแก้ปัญหาหน้าแตกด้วยการจองที่นั่งในเที่ยวบินต่อไปให้ ท่านนายพลก็ยืนกรานไม่ไปแล้ว
สถานทูตสหรัฐฯ ในกรุงจาการ์ตาต้องออกหนังสือขอโทษขอโพยอย่างเป็นทางการ “เราขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งที่เกิดเรื่องความไม่สะดวกขึ้น” นั่นเป็นคำแถลงขอโทษโดยรองเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ นางเอริน อลิซาเบธ แมคคี
โฆษกของกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิสหรัฐฯ ยืนยันว่าท่านนายพลอิเหนาได้เดินทางไปสหรัฐฯ แต่อ้างว่าปัญหาความไม่เข้าใจกันได้ถูกสะสางอย่างรวดเร็วด้วยการประสานงานระหว่างหน่วยงานต่างๆ ในกรุงจาการ์ตาแล้ว
“แต่ท่านนายพลไม่ยอมเดินทางไปเอง ทั้งๆ ที่มีการจองที่นั่งไว้แล้วในเที่ยวบินถัดไป” โฆษกพยายามอธิบาย แต่คงรู้ว่าสายเสียแล้ว
สถานทูตยังแถลงซ้ำอีกว่า เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำอินโดนีเซีย นายโจเซฟ อาร์.โดโนแวน จูเนียร์ ต้องไปขออภัยต่อรัฐมนตรีต่างประเทศอิเหนา นายเรตโน มาร์ซูดี ในปัญหา “ความไม่สะดวกต่อนายพลกาโตต” ดังกล่าว
คำแถลงยังหยอดไว้ด้วยคำหวานตามสไตล์การทูต หลังจากเหตุหน้าแตก “เรายังยึดมั่นในพันธะความเป็นหุ้นส่วนด้านยุทธศาสตร์กับประเทศอินโดนีเซีย เพื่อนำไปสู่ความมั่นคงและความเจริญรุ่งเรืองของทั้ง 2 ประเทศและประชาชน”
สำนักข่าวซีเอ็นเอ็นพยายามติดต่อกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ เพื่อสอบถามเหตุและผลกระทบจากเรื่องนี้ แต่ไม่มีคำตอบแต่อย่างใด แน่นอนที่สุดท่านนายพลอิเหนาย่อมควันออกหูไม่หยุด ต้องเยียวยารักษาน้ำใจที่บอบช้ำอีกนาน
ถ้าท่านนายพลอิเหนาเดินทางไปเองโดยไม่มีใครเชิญแล้วถูกห้ามขึ้นเครื่องยังพอว่า แต่นี่มีจดหมายเชิญจากผู้นำทหารสหรัฐฯ แท้ๆ หน่วยงานอื่นๆ ยังไม่ไว้หน้า ท่านนายพลไม่ได้ไปประชุมร่วมกับสหรัฐฯ ก็ยังไม่เท่าไหร่ นั่งนานๆ น่าเบื่อ
แต่กรณีคุณนายซึ่งเป็น ผบ.สูงสุดที่บ้าน พลาดโอกาสไปเดินดูของในห้างดังๆ นี่ซิ เป็นปัญหาหนัก ทำให้คุณนายต้องเหม็นขี้หน้าข้าราชการสหรัฐฯ อีกนาน
ท่านประธานคณะเสนาธิการร่วมของกองทัพสหรัฐฯ เองคงมีควันออกหู เลือดเดือดไม่น้อยกว่ากัน อาจถึงขั้นกระอักเลือด หน่วยงานต่างๆ ของประเทศสหรัฐฯ เรื่องเยอะ เห็นจดหมายเชิญให้ท่านนายพลอิเหนามาเยือนไม่มีความหมาย
เรื่องพรรค์นี้เกิดขึ้นได้ แต่ไม่บ่อยนัก ครั้งนี้เกี่ยวโยงถึงระดับนายทหารใหญ่สหรัฐฯ คนบ้านเราก็เคยโดนห้ามเข้าสหรัฐฯ จนชวดโอกาสได้เป็นนายกฯ นั่นเลย!