ผู้จัดการรายวัน360- แกนนำสมาพันธ์ชาวพุทธฯ เรียกร้อง"บิ๊กตู่" ใช้ม. 44 นิรโทษกรรมต่างด้าว มอบพลเมืองพิเศษให้ "พระราชรัชมุนี" 6 องค์กรชาวพุทธเชียงใหม่ พร้อมทนายความเตรียมบุกกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 แจ้งความดำเนินคดีหมิ่นประมาทต่อผู้ร้องเรียนให้ตรวจสอบกรณี “เจ้าอาวาสวัดสวนดอก” สวมบัตรประชาชนคนตาย อ้างมีการออกสื่อพาดพิงให้คณะสงฆ์เชียงใหม่เสื่อมเสีย
นายกรณ์ มีดี แกนนำเสื้อแดง ในฐานะเลขาธิการสมาพันธ์ชาวพุทธแห่งประเทศไทย และเลขานุการมูลนิธิเพื่อพระพุทธศาสนา ได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว กรณี พระราชรัชมุนี (นิมิต ทิพย์ปัญญาเมธี) เจ้าอาวาสวัดสวนดอก พระอารามหลวง และเจ้าคณะอำเภอเมืองเชียงใหม่ ถูกดำเนินคดี ในข้อหาใช้หลักฐานเท็จ ยื่นคำขอมีบัตรประชาชน โดยมิได้มีสัญชาติไทย หลังถูกร้องเรียนว่าเลขที่บัตรประชาชนตรงกับของ ด.ช.ดวงดี หรือ นายดวงดี เวียงดินดำ ชาว ต.บ้านแก้ง อ.ภูเขียว จ.ชัยภูมิ ซึ่งเสียชีวิตไปตั้งแต่ปี 38
โดยนายกรณ์ ระบุว่าจากข่าวที่มีคนไปฟ้องว่า เจ้าอาวาสวัดสวนดอก สวมสิทธิ์บัตรประชาชนคนตาย ทำให้กลุ่มผู้ประสงค์จะทำลายพระพุทธศาสนา ได้ฉวยโอกาสถล่ม เล่นงานชนิดไม่ไว้หน้า สื่อบางสำนักถึงขั้นเรียกว่าเป็น“สมี” ยกว่า ปาราชิกขาดจากความเป็นพระ บ้างก็อ้างว่า ทำผิดกฎหมาย จึงต้องถูกดำเนินคดี ทำให้ต้องสึกขาดจากความเป็นพระ
"พวกที่บอกว่าท่านต้องปาราชิก เพราะทำผิดกฎหมายบ้านเมือง ผมถามว่าศาลตัดสินแล้วเหรอ ว่าท่านทำผิดจริง หรือว่าท่านสั่งศาลได้ให้ตัดสินตามที่ท่านชอบได้ ท่านจึงกล้าเรียกท่านเจ้าคุณนิมิตว่า สมี ส่วนประเด็นทางพระวินัย การขาดจากความเป็นพระได้นั้น เราต้องยึดจากพระวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น ซึ่งมีบางข้อที่ไปเกี่ยวกับกฎหมายทางโลก"
ส่วนประเด็นด้านจารีตประเพณีของพระในพระพุทธศาสนา ตั้งแต่สมัยพุทธกาล ได้ปฏิบัติตามคำสั่งของพระพุทธองค์ให้ไปจาริกสั่งสอนไปยังแว่นแคว้นต่างๆ โดยไม่ได้ขออนุญาตเข้าเมือง หรือเป็นประชาชนของประเทศนั้น จนเผยแผ่พระพุทธศาสนาไปได้อย่างกว้างไกล พระในหลายประเทศติดต่อกับไทย ที่ผ่านมาพบว่า พระจำนวนมาก เดินธุดงค์ จาริกไปสั่งสอนทั้งคนไทย พม่า รามัญ ลาว เขมร ก็อาศัยเดินธุดงค์ไปมา หลายประเทศในแถบนี้ จนกลายเป็นจริยวัตร เป็นประเพณีของพระในแถบประเทศนี้
ส่วนประเด็นด้านมนุษยธรรม แม้บทสรุปสุดท้าย ศาลตัดสินว่าพระราชรัชมุนี ผิดจริงก็ตาม แต่ในฐานะมนุษย์เราต้องหันมาดูว่า ทำผิดอะไรร้ายแรงหรือ ไม่ได้ฆ่าคน ไม่ได้ลักทรัพย์ ไม่ได้เสพเมถุน ไม่ได้อวดอุตริมนุสธรรม ไม่ได้ข่มเหงรังแกคนไทย และไม่ได้ทำลายประเทศไทย แต่ตรงกันข้าม พระราชรัชมุนี สร้างให้มีพระในประเทศไทยจำนวนมาก ช่วยเหลือให้คนจนมีที่เรียน ให้ทุนการศึกษา ทุ่มเทให้คนที่ด้อยโอกาสให้ได้รับโอกาส สิ่งที่กระทำ มากมายมหาศาล ซึ่งนักการเมืองจำนวนมากทำไม่ได้อย่างท่านเลย
"ผมจึงขอโอกาสต่อสังคมไทย ต่อคนไทย อย่าเพิ่งมองว่าท่านทำผิดแล้ว ท่านทำชั่ว พระทั้งหลายองค์อื่นๆ ไม่ดี ต่อให้สุดท้ายแล้วกระทำความผิดนั้นจริงตามกฎหมาย ผมก็เชื่อว่า ท่านไม่ได้มีเจตนาร้ายต่อประเทศไทย ไม่ได้มีเจตนาร้ายต่อพระพุทธศาสนา และท่านไม่ได้ตั้งใจทำผิดกฎหมายบ้านเมือง"
ในตอนท้าย นายกรณ์ เสนอแนวทางแก้ไขสำหรับสังคม อย่าเพิ่งตัดสินแทนศาล อย่าไปเรียกว่า สมี เพราะสมี ใช้เรียกพระที่ปาราชิก 4 เท่านั้น ไม่ใช่ผิดเพราะกฎหมายโดยไม่ได้ผิดปาราชิก 4 ขอโอกาสให้พระราชรัชมุนี และคณะสงฆ์ทั้งประเทศ อย่าเชื่อแต่ข่าวที่ทำร้าย ข่าวที่ทำลายคณะสงฆ์ไทย ส่วนรัฐบาล คสช. ขอร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ ช่วยพิจารณาคุณงามความดีของ พระราชรัชมุนี ที่สั่งสมมา ช่วยหาทางออก ดังนั้น การใช้มาตรา 44 มอบพลเมืองพิเศษ หรือราษฎรพิเศษ ให้พระราชรัชมุนี พร้อมให้สิทธิต่างๆ เทียบเท่าของเดิมที่ได้รับทุกประการ รวมทั้งใช้ มาตรา 44 นิรโทษในความผิดต่างด้าวสวมสิทธิ์ หากทำผิดจริง ซึ่งเป็นการทำผิดเรื่องเล็กๆ เรื่องเดียว แต่สร้างคุณงามความดี นับไม่ถ้วน แม้เรื่องนี้เป็นเฉพาะบุคคล แต่ก็สามารถอ้างเหตุที่ทำความดีมาตลอดชีวิต จึงสมควรใช้ มาตรา 44 เฉพาะบุคคล มอบพลเมืองพิเศษ หรือราษฎรพิเศษ เช่นที่ประเทศอื่นๆ เขาให้สำหรับคนต่างชาติที่สร้างคุณูปการต่อประเทศนั้นๆ
รายงานข่าวแจ้งว่าในวันนี้ (18 ต.ค. 60) เวลา 10.00 น. ตัวแทน 6 องค์กรพุทธศาสนาในจังหวัดเชียงใหม่ ประกอบด้วย พุทธสมาคมจังหวัดเชียงใหม่,ยุวพุทธิกสมาคมจังหวัด,กลุ่มหนุ่มสาวจังหวัด,สมาคมศิษย์เก่า มจร.วิทยาเขตเชียงใหม่,สมาคมสหธรรมเชียงใหม่ และสมาพันธ์ชาวพุทธจังหวัดเชียงใหม่ พร้อมด้วยทนายความจะเดินทางไปที่กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อยื่นหนังสือและแจ้งความให้ดำเนินคดีต่อนายกิตติศักดิ์ แสนทวีสุข ผู้ที่ร้องเรียนให้ตรวจสอบพระราชรัชมุนี เจ้าอาวาสวัดสวนดอก และเจ้าคณะจังหวัดเชียงใหม่ โดยกล่าวหาว่าสวมบัตรประจำตัวประชาชนคนตาย ข้อหาหมิ่นประมาท รวมทั้งอาจจะฟ้องสื่อที่มีการนำเสนอข่าวกรณีดังกล่าวด้วย
ทั้งนี้ ความเคลื่อนไหวดังกล่าวของ 6 องค์กรพุทธศาสนาในจังหวัดเชียงใหม่นั้น สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 15 ต.ค. 60 ตัวแทนพระสงฆ์ร่วมกับตัวแทน 6 องค์กรพุทธศาสนาในจังหวัดเชียงใหม่ ได้ประชุมหารือร่วมกันที่ศูนย์เผยแผ่พระพุทธศาสนาจังหวัดเชียงใหม่ วัดพันอ้น อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ กรณีที่นายกิตติศักดิ์ ร้องเรียน และได้ไปออกรายการโทรทัศน์ หลายคนเชื่อว่าเป็นการให้ข้อมูลพาดพิงที่ไม่เป็นจริง จนทำให้คณะสงฆ์จังหวัดเชียงใหม่รับความเสียหายส่งผลกระทบต่อความศรัทธาและความเคารพในพระสงฆ์ จึงมีข้อสรุปร่วมกันที่จะออกมาใช้สิทธิทางกฎหมาย
นายกรณ์ มีดี แกนนำเสื้อแดง ในฐานะเลขาธิการสมาพันธ์ชาวพุทธแห่งประเทศไทย และเลขานุการมูลนิธิเพื่อพระพุทธศาสนา ได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว กรณี พระราชรัชมุนี (นิมิต ทิพย์ปัญญาเมธี) เจ้าอาวาสวัดสวนดอก พระอารามหลวง และเจ้าคณะอำเภอเมืองเชียงใหม่ ถูกดำเนินคดี ในข้อหาใช้หลักฐานเท็จ ยื่นคำขอมีบัตรประชาชน โดยมิได้มีสัญชาติไทย หลังถูกร้องเรียนว่าเลขที่บัตรประชาชนตรงกับของ ด.ช.ดวงดี หรือ นายดวงดี เวียงดินดำ ชาว ต.บ้านแก้ง อ.ภูเขียว จ.ชัยภูมิ ซึ่งเสียชีวิตไปตั้งแต่ปี 38
โดยนายกรณ์ ระบุว่าจากข่าวที่มีคนไปฟ้องว่า เจ้าอาวาสวัดสวนดอก สวมสิทธิ์บัตรประชาชนคนตาย ทำให้กลุ่มผู้ประสงค์จะทำลายพระพุทธศาสนา ได้ฉวยโอกาสถล่ม เล่นงานชนิดไม่ไว้หน้า สื่อบางสำนักถึงขั้นเรียกว่าเป็น“สมี” ยกว่า ปาราชิกขาดจากความเป็นพระ บ้างก็อ้างว่า ทำผิดกฎหมาย จึงต้องถูกดำเนินคดี ทำให้ต้องสึกขาดจากความเป็นพระ
"พวกที่บอกว่าท่านต้องปาราชิก เพราะทำผิดกฎหมายบ้านเมือง ผมถามว่าศาลตัดสินแล้วเหรอ ว่าท่านทำผิดจริง หรือว่าท่านสั่งศาลได้ให้ตัดสินตามที่ท่านชอบได้ ท่านจึงกล้าเรียกท่านเจ้าคุณนิมิตว่า สมี ส่วนประเด็นทางพระวินัย การขาดจากความเป็นพระได้นั้น เราต้องยึดจากพระวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น ซึ่งมีบางข้อที่ไปเกี่ยวกับกฎหมายทางโลก"
ส่วนประเด็นด้านจารีตประเพณีของพระในพระพุทธศาสนา ตั้งแต่สมัยพุทธกาล ได้ปฏิบัติตามคำสั่งของพระพุทธองค์ให้ไปจาริกสั่งสอนไปยังแว่นแคว้นต่างๆ โดยไม่ได้ขออนุญาตเข้าเมือง หรือเป็นประชาชนของประเทศนั้น จนเผยแผ่พระพุทธศาสนาไปได้อย่างกว้างไกล พระในหลายประเทศติดต่อกับไทย ที่ผ่านมาพบว่า พระจำนวนมาก เดินธุดงค์ จาริกไปสั่งสอนทั้งคนไทย พม่า รามัญ ลาว เขมร ก็อาศัยเดินธุดงค์ไปมา หลายประเทศในแถบนี้ จนกลายเป็นจริยวัตร เป็นประเพณีของพระในแถบประเทศนี้
ส่วนประเด็นด้านมนุษยธรรม แม้บทสรุปสุดท้าย ศาลตัดสินว่าพระราชรัชมุนี ผิดจริงก็ตาม แต่ในฐานะมนุษย์เราต้องหันมาดูว่า ทำผิดอะไรร้ายแรงหรือ ไม่ได้ฆ่าคน ไม่ได้ลักทรัพย์ ไม่ได้เสพเมถุน ไม่ได้อวดอุตริมนุสธรรม ไม่ได้ข่มเหงรังแกคนไทย และไม่ได้ทำลายประเทศไทย แต่ตรงกันข้าม พระราชรัชมุนี สร้างให้มีพระในประเทศไทยจำนวนมาก ช่วยเหลือให้คนจนมีที่เรียน ให้ทุนการศึกษา ทุ่มเทให้คนที่ด้อยโอกาสให้ได้รับโอกาส สิ่งที่กระทำ มากมายมหาศาล ซึ่งนักการเมืองจำนวนมากทำไม่ได้อย่างท่านเลย
"ผมจึงขอโอกาสต่อสังคมไทย ต่อคนไทย อย่าเพิ่งมองว่าท่านทำผิดแล้ว ท่านทำชั่ว พระทั้งหลายองค์อื่นๆ ไม่ดี ต่อให้สุดท้ายแล้วกระทำความผิดนั้นจริงตามกฎหมาย ผมก็เชื่อว่า ท่านไม่ได้มีเจตนาร้ายต่อประเทศไทย ไม่ได้มีเจตนาร้ายต่อพระพุทธศาสนา และท่านไม่ได้ตั้งใจทำผิดกฎหมายบ้านเมือง"
ในตอนท้าย นายกรณ์ เสนอแนวทางแก้ไขสำหรับสังคม อย่าเพิ่งตัดสินแทนศาล อย่าไปเรียกว่า สมี เพราะสมี ใช้เรียกพระที่ปาราชิก 4 เท่านั้น ไม่ใช่ผิดเพราะกฎหมายโดยไม่ได้ผิดปาราชิก 4 ขอโอกาสให้พระราชรัชมุนี และคณะสงฆ์ทั้งประเทศ อย่าเชื่อแต่ข่าวที่ทำร้าย ข่าวที่ทำลายคณะสงฆ์ไทย ส่วนรัฐบาล คสช. ขอร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ ช่วยพิจารณาคุณงามความดีของ พระราชรัชมุนี ที่สั่งสมมา ช่วยหาทางออก ดังนั้น การใช้มาตรา 44 มอบพลเมืองพิเศษ หรือราษฎรพิเศษ ให้พระราชรัชมุนี พร้อมให้สิทธิต่างๆ เทียบเท่าของเดิมที่ได้รับทุกประการ รวมทั้งใช้ มาตรา 44 นิรโทษในความผิดต่างด้าวสวมสิทธิ์ หากทำผิดจริง ซึ่งเป็นการทำผิดเรื่องเล็กๆ เรื่องเดียว แต่สร้างคุณงามความดี นับไม่ถ้วน แม้เรื่องนี้เป็นเฉพาะบุคคล แต่ก็สามารถอ้างเหตุที่ทำความดีมาตลอดชีวิต จึงสมควรใช้ มาตรา 44 เฉพาะบุคคล มอบพลเมืองพิเศษ หรือราษฎรพิเศษ เช่นที่ประเทศอื่นๆ เขาให้สำหรับคนต่างชาติที่สร้างคุณูปการต่อประเทศนั้นๆ
รายงานข่าวแจ้งว่าในวันนี้ (18 ต.ค. 60) เวลา 10.00 น. ตัวแทน 6 องค์กรพุทธศาสนาในจังหวัดเชียงใหม่ ประกอบด้วย พุทธสมาคมจังหวัดเชียงใหม่,ยุวพุทธิกสมาคมจังหวัด,กลุ่มหนุ่มสาวจังหวัด,สมาคมศิษย์เก่า มจร.วิทยาเขตเชียงใหม่,สมาคมสหธรรมเชียงใหม่ และสมาพันธ์ชาวพุทธจังหวัดเชียงใหม่ พร้อมด้วยทนายความจะเดินทางไปที่กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อยื่นหนังสือและแจ้งความให้ดำเนินคดีต่อนายกิตติศักดิ์ แสนทวีสุข ผู้ที่ร้องเรียนให้ตรวจสอบพระราชรัชมุนี เจ้าอาวาสวัดสวนดอก และเจ้าคณะจังหวัดเชียงใหม่ โดยกล่าวหาว่าสวมบัตรประจำตัวประชาชนคนตาย ข้อหาหมิ่นประมาท รวมทั้งอาจจะฟ้องสื่อที่มีการนำเสนอข่าวกรณีดังกล่าวด้วย
ทั้งนี้ ความเคลื่อนไหวดังกล่าวของ 6 องค์กรพุทธศาสนาในจังหวัดเชียงใหม่นั้น สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 15 ต.ค. 60 ตัวแทนพระสงฆ์ร่วมกับตัวแทน 6 องค์กรพุทธศาสนาในจังหวัดเชียงใหม่ ได้ประชุมหารือร่วมกันที่ศูนย์เผยแผ่พระพุทธศาสนาจังหวัดเชียงใหม่ วัดพันอ้น อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ กรณีที่นายกิตติศักดิ์ ร้องเรียน และได้ไปออกรายการโทรทัศน์ หลายคนเชื่อว่าเป็นการให้ข้อมูลพาดพิงที่ไม่เป็นจริง จนทำให้คณะสงฆ์จังหวัดเชียงใหม่รับความเสียหายส่งผลกระทบต่อความศรัทธาและความเคารพในพระสงฆ์ จึงมีข้อสรุปร่วมกันที่จะออกมาใช้สิทธิทางกฎหมาย