ผู้จัดการรายวัน360-"รสนา"โชว์หลักฐานบริษัทรับสัมปทานน้ำมันจากแหล่ง JDA สำแดงเอกสารเท็จ เลี่ยงภาษีส่งออกน้ำมัน มีปลัดกระทรวงพลังงาน กระทรวงการคลัง และ กระทรวงยุติธรรม สุมหัวเบรก "ดีเอสไอ"ดำเนินคดี อ้างจะกระทบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ดึงสตินายกฯ หากบ้าจี้ใช้ ม.44 แทรกแซงการตรวจสอบของ ดีเอสไอ จะกลายเป็นบรรทัดฐาน รัฐจะไม่ได้ภาษีส่งออกน้ำมันจากแหล่งนี้ตลอดไป บี้ตั้งกรรมการสอบปลัดฯทั้ง 3 ทำให้ราชการเสียหาย เป็นอันตรายต่อบ้านเมือง
น.ส.รสนา โตสิตระกูล อดีตสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ด้านพลังงาน โพสต์ข้อความลงเฟซบุ๊ก "รสนา โตสิตระกูล" หัวข้อ "ขอให้นายกฯจัดการกรณีการหลีกเลี่ยงภาษีส่งออกปิโตรเลียมเหลว (คอนเดนเสท) จากแหล่ง JDA ของบริษัทเอกชนให้ถูกต้อง" โดยระบุข้อความว่า...
"ในช่วง 2 อาทิตย์ที่ผ่านมา มีข่าวดังในสื่อออนไลน์เกี่ยวกับเอกสารหลุดลอดออกมาเรื่องที่ 3 ปลัดกระทรวง ลงมติเบรก DSI ดำเนินคดีกับบริษัทต่างชาติที่หลีกเลี่ยงภาษี กรณีซื้อคอนเดนเสท จากแหล่งพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย (JDA)โดยสำแดงเอกสารส่งออกอันเป็นเท็จ หลีกเลี่ยงการจ่ายภาษีขาออก มีการอ้างว่าหากดำเนินคดีกับบริษัทเอกชนที่เลี่ยงภาษี จะเกิดปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ถึงกับมีข่าวว่า จะขอให้พล.อ ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ใช้มาตรา 44 มาแทรกแซงคดีนี้อีกด้วย
จากข้อมูลของ สำนักข่าวไทยพับลิก้าได้รายงานว่า " ที่ผ่านมา การซื้อ-ขายคอนเดนเสท จากพื้นที่ JDA ส่วนใหญ่ไม่มีปัญหา หากเป็นการซื้อ-ขายกันโดยตรง ระหว่างบริษัทผู้รับสัมปทาน ขายให้บริษัทที่ประกอบกิจการในประเทศไทย หรือ มาเลเซีย แต่ก็มีหลายกรณีที่ด่านศุลกากรสงขลา ตรวจพบบริษัทผู้รับสัมปทานนำคอนเดนเสทไปขายผ่านคนกลาง ซึ่งเป็นบริษัทที่ประกอบกิจการอยู่ในประเทศที่ 3 ก่อนนำคอนเดนเสท มาขายให้กับบริษัทในเครือปตท. เรื่องนี้จึงกลายเป็นประเด็นขึ้นมา
ยกตัวอย่าง กรณีบริษัท CARIGALI HESS OPERATION COMPANY SDN BHD นำส่วนแบ่งคอนเดนเสทที่ผลิตได้ จากแหล่งจักรวาล (Cakerawala)ไปมอบให้บริษัท HESS นำไปขายให้กับบริษัท ปตท.อะโรเมติกส์และการกลั่น จำกัด (มหาชน) (PTTAR)โดยมีใบรับรองจากองค์ร่วมไทย-มาเลเซีย (MTJA)แนบมากับใบขนสินค้า แจ้งต่อด่านศุลกากรสงขลาว่า จะนำคอนเดนเสทล็อตนี้ไปขายให้กับ ปตท.อะโรเมติกส์ฯ เจ้าหน้าที่ด่านศุลกากรสงขลาจึงทำการตรวจปล่อยสินค้า โดยไม่ได้เก็บอากรขาออก เพราะเป็นการขายให้กับบริษัทไทย"
ต่อมามีการร้องเรียนกล่าวโทษเรื่องนี้ต่อ DSI เรื่องการหลีกเลี่ยงภาษีของ บริษัท CPOC (ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง ปตท.สผ. และคาริการี่ ของมาเลเซีย) และ บริษัท CHESS (ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างคาริการี่ กับ บริษัท เฮสส์ ของสหรัฐฯ)
หลังจากมีการสอบสวนแล้ว DSIร่วมกับพนักงานอัยการได้มีมติว่า 2 บริษัท มีความผิดฐานหลีกเลี่ยงภาษีอากร ตามมาตรา 99 และ มาตรา 27 พ.ร.บ. ศุลกากร 2469 จึงได้แจ้งให้บริษัท CPOC และ บริษัท CHESS มารับทราบข้อกล่าวหา ซึ่งบริษัท CPOC ได้มารับทราบข้อกล่าวหาไปแล้ว ตั้งแต่เดือนพ.ค.60 ส่วนบริษัท CHESS ขอเลื่อนมารับทราบข้อกล่าวหาในเดือนก.ค.60 แต่ก็ไม่มา
ต่อมาปรากฏเอกสารการประชุม เมื่อวันที่ 6 ก.ค.60 หลุดลอดมาสู่สื่อมวลชน เรื่องที่กระทรวงพลังงาน โดยกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ นัดหมายปลัดจาก 3 กระทรวง ประกอบด้วย กระทรวงพลังงาน กระทรวงการคลัง และ กระทรวงยุติธรรม มาประชุมเพื่อหาทางออกให้ 2 บริษัทดังกล่าว โดยเข้ามาแทรกแซงการทำงานของ DSI ด้วยการขอให้ชะลอการสอบปากคำคดีความดังกล่าวออกไปก่อน และเสนอให้กรมศุลกากร พิจารณาการเสียภาษีขาออกโดยพิจารณาจากการขนส่งไปยังประเทศปลายทางเป็นหลัก (Physical movement)อ้างว่า หากมีการดำเนินคดีกับบริษัทเอกชนดังกล่าว จะกระทบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ !!
ทั้งที่ตามข้อตกลงไทย-มาเลเซีย มีการกำหนดชัดเจนว่า การขายน้ำมันส่วนที่เป็นกำไรจากแหล่ง JDAไปยังไทย และ มาเลเซีย นั้นไม่มีภาษี แต่ถ้ามีการขายนอกราชอาณาจักรไทย และมาเลเซีย ต้องเก็บภาษีตามกฎหมายของแต่ละประเทศ โดยลดลง 50% ซึ่งประเทศไทยมีภาษีส่งออก 10% จึงเก็บได้ 5%
กรณีการขายคอนเดนเสทที่มีปัญหานี้ ตามข้อเท็จจริงปรากฏหลักฐานการซื้อขายระหว่าง บริษัท HESS GLOBALTRADING LIMITED (ผู้ขาย) กับ KARNEL OIL PTE LIMITED SINGAPORE (ผู้ซื้อ) จึงถือว่า เป็นการขายไปนอกราชอาณาจักรไทย และ มาเลเซีย ตามพ.ร.ก. พิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 ภาค 3 ประเภท 8 (ก) ผู้ขาย (HESS)จะต้องเสียอากร 10% โดยลดอัตราเรียกเก็บลงเหลือ 5%
การที่ปลัดกระทรวง 3 กระทรวง มีความเห็นในเอกสารการประชุมที่หลุดลอดออกมา ทำให้สังคมได้ล่วงรู้ข้อมูลที่มีการประชุมที่ระบุว่า “อธิบดีกรมศุลกากร ได้ยืนยันโดยวาจาว่า จัดเก็บอากรขาออกฯ ให้พิจารณาจากการขนส่งไปยังประเทศปลายทางเป็นหลัก”ทั้งที่ข้อพิจารณาดังกล่าวไม่มีข้อกฎหมายใดมารองรับ ใช่หรือไม่
ข้อกฎหมายเรื่องการจัดเก็บอากรขาออกที่ถูกต้อง คือ คำสั่งกรมศุลกากรที่ 5/2548 ข้อ 4 02 04 04 เพื่อเป็นการกำหนดจุดที่ภาระภาษีเกิดขึ้นในพื้นที่พัฒนาร่วมฯ ตามมติของที่ประชุมคณะกรรมการศุลกากรไทย - มาเลเซีย “ได้กำหนดให้เรือกักเก็บน้ำมัน (Floating Storage and Offloading Vessel Area : FSOA) และ จุดตั้งมาตรวัดเพื่อวัดปริมาณการส่งออกน้ำมัน เป็นจุดที่ภาระภาษีเกิดขึ้นตามกฎหมาย(Tax Point)”
หากเป็นไปตามข่าวที่ปรากฏว่า มีผู้บริหารระดับสูงถึง 3 กระทรวง ได้ออกหน้ามาแก้แทนบริษัทเอกชน โดยให้ข้อมูลที่ขัดแย้งกับบทบัญญัติของกฎหมายเรื่องจุดที่ภาระภาษีเกิด (Tax Point) และยังจะทำเรื่องให้นายกรัฐมนตรี ใช้มาตรา 44 ในทางที่ไม่ถูกต้อง ไม่ชอบด้วยตัวบทกฎหมายนั้น เป็นเรื่องที่น่าสงสัยเป็นอย่างยิ่งว่า ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่เหล่านั้นได้ใช้อำนาจหน้าที่โดยสุจริตหรือไม่
สิ่งที่ต้องตั้งคำถาม คือ การนำเข้าคอนเดนเสทโดยตรงจากแหล่ง JDAโดยบริษัทในประเทศไทย สามารถทำได้อยู่แล้วโดยไม่มีภาระภาษี แต่เหตุใดจึงมีการทำให้ซับซ้อนโดยขายไปที่สิงคโปร์ทอดหนึ่งก่อนจะนำเข้ามายังประเทศไทย หรือว่าการนำเข้าโดยตรงจากแหล่งเจดีเอ ทำให้ไม่สามารถบวกต้นทุนโสหุ้ย และกำไรที่ผ่านคนกลางอีกทอดหนึ่ง ใช่หรือไม่
หากนายกรัฐมนตรีบ้าจี้ทำตามข้อเสนอแนะของข้าราชการระดับสูงเหล่านี้ ที่เสนอให้นายกฯใช้มาตรา 44 เข้ามาแทรกแซงคดีความการหลีกเลี่ยงภาษีของบริษัทเอกชน ก็จะทำให้บริษัทเอกชนที่หลีกเลี่ยงภาษีไม่ต้องรับผิด ส่วนรัฐสูญเสียภาษีไปโดยไม่ถูกต้อง
แต่ประเด็นที่ใหญ่กว่านั้นคือ จะทำให้กรณีนี้กลายเป็นบรรทัดฐานให้เกิดการหลีกเลี่ยงภาษีส่งออกจากแหล่ง JDA และรัฐบาลจะไม่ได้ภาษีจากการส่งออกน้ำมันของแหล่ง JDA ตลอดไป
ที่สำคัญคือ เปิดโอกาสให้เอกชนสามารถแสวงหาผลประโยชน์เพิ่มขึ้น โดยไม่ต้องเสียภาษี ด้วยการไม่นำเข้าน้ำมันโดยตรงจากแหล่ง JDA แต่จะใช้วิธีซิกแซกโดยขายน้ำมันไปให้พ่อค้าคนกลางที่สิงคโปร์ ทอดหนึ่งก่อน เพื่อบวกค่าใช้จ่ายและกำไร ก่อนส่งเข้ามาขายในประเทศไทย ซึ่งนอกจากจะเปิดช่องให้เอกชนหากำไรเข้ากระเป๋าใครก็ไม่รู้แล้ว แต่ที่แน่ๆคือ คนไทยต้องจ่ายค่าน้ำมันแพงขึ้น โดยรัฐไม่ได้ภาษีด้วย ใช่หรือไม่
สิ่งที่นายกรัฐมนตรีควรดำเนินการ จึงไม่ใช่การใช้ มาตรา 44 แทรกแซงการตรวจสอบของ DSI หรือเปลี่ยนแปลงการเก็บภาษีขาออกของกรมศุลกากร ที่มีบทบัญญัติของกฎหมายรองรับอยู่แล้ว แต่ควรจะตั้งกรรมการขึ้นมาสอบสวนปลัดกระทรวงทั้ง 3 กระทรวง และบุคคลที่เกี่ยวข้องทั้งหมดโดย เฉพาะอย่างยิ่ง สอบสวนกระทรวงพลังงานเป็นลำดับแรก เพราะเป็นตัวตั้งตัวตีในการเชิญประชุม และเสนอเรื่องนี้เข้าไปที่คณะกรรมการยุทธศาสตร์ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน และถึงกับเสนอให้นายกรัฐมนตรีใช้มาตรา 44 เพื่อช่วยให้เอกชนที่หลีกเลี่ยงภาษีให้ไม่ต้องรับโทษ และไม่ต้องเสียภาษีให้รัฐอีกด้วย
การที่มีข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่ออกมาใช้อำนาจในการช่วยเหลือให้บริษัทเอกชนหลีกเลี่ยงการจ่ายภาษีให้กับรัฐย่อมเป็นอันตรายต่อบ้านเมืองอย่างยิ่ง เพราะเป็นการไม่รักษาประโยชน์ของทางราชการ ทำให้ราชการเสียหาย เป็นการใช้ดุลยพินิจในการวินิจฉัยในทางมิชอบ ใช่หรือไม่
ข้าราชการที่ดีจะต้องปฏิบัติหน้าที่เพื่อรักษาผลประโยชน์ของทางราชการเป็นสำคัญเป็นลำดับแรก มิใช่มุ่งแต่ดูแลฝ่ายเอกชนโดยลืมไปว่าตัวเองเป็นข้าราชการ ที่กินเงินเดือนหลวง ใช่หรือไม่"