บินไป-บินมา ร่อนไป-ร่อนมา...ทั้งเกาหลีเหนือ ซาอุฯ ไปจนถึงสเปนโน่นเลย ชักจะ “เหนื่อยปีก” อยู่ตามสมควร วันนี้เลยลองกลับมาพักไหปลาร้า ภายในเล้าไก่บ้านเราดูมั่ง แม้จะต้องปวดเศียรเวียนเกล้ากับเรื่องเลือกตั้ง-ไม่เลือกตั้ง หรือเลือกตั้งตอนไหน ปีหน้าหรือปีโน้น 61 หรือ 62 อันนั้น...คงต้องหาทางปิดหูกันเอาเอง เพราะถือเป็นเรื่องอุจจาระสุกรรา อุจจาระสุนัขแห้งที่เถียงกันไป เถียงกันมา ด่ากันไป ด่ากันมา คงไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์โพดผลใดๆ กับ “ส่วนรวม” หรือสังคมเอาเลยแม้แต่น้อย...
อันที่จริงแล้ว...เรื่องที่น่าจะถือเป็นวาระสำคัญเอามากๆ สำหรับประเทศไทย สังคมไทย โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่เรียกๆ กันว่า “ระยะเปลี่ยนผ่าน” น่าจะเป็นเรื่องของ “แนวคิด” หรือ “ทัศนคติ” ในการมองโลก มองบ้าน มองเมือง ของผู้คนซึ่งอยู่ภายในเล้าเดียวกันนั่นแหละทั่น คือถ้ายกเอาเรื่อง “ความดี-ความไม่ดี” ออกจากพจนานุกรมไปซักพัก หรือ “ละเอาไว้ในฐานที่เข้าใจแล้ว” สิ่งที่ยังคงต้องถือเป็น “ปัญหา” อันอาจนำมาซึ่งความขัดแย้ง แตกต่าง หรือแม้แต่แตกแยก ก็ใช่ว่าจะสูญสลายหายเกลี้ยงไปได้ง่ายๆ เพราะข้อขัดแย้ง แตกต่าง ที่แทบไม่รู้ว่าใครคือ “ฝ่ายถูก-ฝ่ายผิด” เผลอๆ อาจจะ “ถูกทั้งคู่” เอาเลยก็ไม่แน่!!! แต่ก็อย่างที่อภิมหานักการเมืองรุ่นลายคราม อย่างคุณปู่ “เฮนรี คิสซิงเจอร์” ท่านเคยว่าๆ เอาไว้นั่นแหละว่า “The great tragedies of history occur not when right confronts wrong but when two rights confront each other.” หรือ “โศกนาฏกรรมสำคัญๆ ในประวัติศาสตร์ มิได้เกิดขึ้นเมื่อฝ่ายถูกเผชิญหน้ากับฝ่ายผิด แต่เกิดขึ้นเมื่อฝ่ายถูกทั้งสองฝ่ายประจันกัน” อะไรประมาณนั้น...
ยิ่งในขณะรัฐบาล คสช.ท่านอาจไม่มีทางเลี่ยง ในอันที่จะต้องอาศัย “กลไกราชการ” หรือ “ระบบราชการ” เป็นตัวขับเคลื่อนในการ “เดินหน้าประเทศไทย” ในช่วง “ระยะผ่าน” บรรดาแนวคิดและทัศนคติที่ถูกผลิตออกมาจากกลไกและระบบเหล่านี้มันจึงหนีไม่พ้นต้องออกไปทาง “หลังเขา” หรือ “เจาะเวลาหาอดีต” อยู่ในบางเรื่อง บางราว หรือหลายเรื่อง หลายราว อย่างมิอาจปฏิเสธได้ เพราะไม่ว่าจะด้วยลักษณะโครงสร้างอำนาจรัฐ ด้วยการครอบงำทางทัศนคติแบบที่เรียกๆ กันว่า “Colonial Mentality” อะไรประมาณนั้น ที่พวกนักคิด นักวิชาการ เขาให้ความหมายเอาไว้ประมาณว่าการตกเป็น “อาณานิคมทางปัญญา” หรือ “ทัศนะทาส” อะไรก็แล้วแต่ จึงทำให้สภาวะแวดล้อมในแวดวงข้าราชการ มันมักออกไปทาง “จูราสสิคพาร์ค” ซะเป็นหลักใหญ่ แม้ตัวข้าราชการหลายต่อหลายรายจะขยัน ซื่อสัตย์ อดทน เพียงใดก็ตาม...
ภายใต้ทัศนคติเช่นนี้...มันเลยมักเป็นตัวนำมาซึ่งความขัดแย้ง หรือเป็นตัว “ดึงดูดความขัดแย้ง” เข้ามาสู่ “ศูนย์กลาง” โดยไม่ว่าศูนย์กลางนั้นๆ จะเป็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง หรือไม่เลือกตั้งก็ตาม ซึ่งถ้าเป็นความขัดแย้งในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เรื่องขี้หมูรา ขี้หมาแห้ง คงไม่ถึงกับหนักหนาสาหัสมากมายซักเท่าไหร่ ใช้วิธี “แฉลบออกข้าง” แบบที่ “บิ๊กป้อม” จัดการปัญหา “ที่ดินกระทิงแดง” อาจพอรอดตัวไปได้เรื่อยๆ แต่ถ้าหากมันเป็นเรื่องหลักๆ เรื่องที่ใหญ่โตยิ่งไปกว่านั้น อย่างที่เริ่มเกิดร่องรอยความขัดแย้งแตกต่างในเรื่องวิธีการบริหารจัดการน้ำ ระหว่างที่กำลังจัดทำ “พ.ร.บ.น้ำ” เกิดทัศนะ มุมมองที่ไม่เหมือนกัน ในเรื่อง “พ.รบ..คุ้มครองพันธุ์พืช” หรือที่ออกจะขัดแย้งแตกต่างไปถึงระดับริดสีดวงทวาร ก็คือทัศนะ มุมมองในเรื่อง “ทิศทางการใช้พลังงาน” ที่ต่างฝ่ายต่างจอดเครื่อง “ไทม์แมชชีน” ไว้คนละมิติ อะไรประมาณนั้น อันนี้...ต้องเรียกว่า ยากซ์ซ์ซ์เอามากๆ ที่จะเด้งเชือก ฉากหลบ แฉลบซ้าย แฉลบขวา ได้ง่ายๆ...
โดยเฉพาะเรื่อง “พลังงาน” นั้น...คงต้องยอมรับเอาจริงๆ นั่นแหละว่า “กฝผ.” นั้น...ท่านหนักไปทาง “หลังเขา” เอามากๆ จะโดย “วัฒนธรรมองค์กร” หรือโดยการอบรมบ่มเพาะมาในแบบไหน แนวไหน ก็มิอาจทราบได้ แต่ท่านเป็นของท่านยังงี้มาโดยตลอด คือมักคิดเอาเอง คิดเอง เออเอง ว่าตัวเองนั้น “ทันสมัย” “ก้าวหน้า” จะด้วยเหตุเพราะต้อง “วิ่งไล่ตามฝรั่ง” หรือวิ่งตาม “แนวทางการพัฒนาแบบเดิมๆ” อย่างต่อเนื่องยาวนานมานับเป็นทศวรรษๆ หรือไม่ อย่างไร ก็ยากที่จะสรุป แต่ด้วยความทะนง องอาจ ความภาคภูมิใจต่อการเป็นกลไกสำคัญในการพัฒนาชาติบ้านเมือง จนทำให้ตัวเองเกิดการพัฒนา “ความดื้อ” ควบคู่ไปด้วย ทัศนคติ มุมมอง ที่ท่านมีต่อทิศทางการใช้พลังงาน จึงกลายเป็นตัว “ดึงดูดความขัดแย้ง” เข้ามาสู่ศูนย์กลางอย่างเป็นระลอก ไม่ว่าจะในรัฐบาลประชาธิปไตย หรือรัฐบาลเผด็จการก็เถอะ!!!
ด้วยเหตุนี้...การก้าวผ่าน “ระยะผ่าน” ของรัฐบาล คสช. จึงไม่ได้เป็นอะไรที่ไหลลื่นไปซะทุกสิ่งทุกอย่าง โอกาสที่จะสะดุดหัวแม่ตีนตัวเอง ล้มคว่ำ คะมำหงาย ย่อมสามารถเป็นไปได้ทุกเมื่อ ตราบใดที่ยังต้องถ่วงน้ำหนัก หรือเน้นฝ่าตีนเอาไว้ที่ระบบราชการ หรือกลไกราชการเป็นสำคัญ แต่ก็นั่นแหละ...ถ้าเรายังไม่สามารถลดข้อขัดแย้ง แตกต่าง หันมาผนึกกำลัง ร่วมแรง ร่วมใจในทุกๆ ภาคส่วนเพื่อหาทางก้าวผ่านระยะผ่านที่ว่า ได้อย่างจริงๆ จังๆ แล้ว การวิ่งวนไป-วนมาอยู่ภายในเล้าไก่ มันจึงเป็นอะไรที่ “น่าเบื่อฉิบหาย” เอาเลยล่ะทั่นน์น์น์...