xs
xsm
sm
md
lg

“สมชัย”ใช้ช่องผู้ตรวจฯยื่นตีความ ปม"เซตซีโร"ในพรป.กกต.

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

วานนี้ (4ต.ค.) นายสมชัย ศรีสุทธิยากร กกต. เข้ายื่นคำร้องต่อ ผู้ตรวจการแผ่นดิน ผ่านนายรักษ์เกชา แฉ่ฉาย เลขาธิการสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ขอให้วินิจฉัยและเสนอเรื่องพร้อมความเห็นต่อศาลรธน. เพื่อพิจารณาวินิจฉัย ว่ามาตรา 70 แห่ง พ.ร.ป.ว่าด้วยกกต. ที่กำหนดให้ ประธานกกต.และกกต. ซึ่งดำรงตำแหน่งอยู่ในวันก่อนที่ พ.ร.ป.กกต. ใช้บังคับ พ้นจากตำแหน่ง นับแต่วันที่พ.ร.ป.ดังกล่าวมีผลบังคับใช้ มีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรธน. มาตรา 273 หรือไม่ เนื่องจากเห็นว่า พ.ร.ป.กกต. ที่มีผลบังคับใช้เป็นกฎหมาย ที่มีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรธน. ขัดกับหลักนิติธรรม ตามรรธน. มาตรา 3 ทั้งในเรื่องความเป็นอิสระ ความเป็นกลาง เพราะการสรรหากกต.ชุดใหม่ภายใต้บทเฉพาะกาลขณะนี้ คณะกรรมการสรรหาจะขาดผู้นำฝ่ายค้านในสภา และสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ทำหน้าที่แทนวุฒิสภา ในการเห็นชอบอาจนำไปสู่การได้ กกต.ชุดใหม่ ที่ขาดความเป็นกลางทางการเมือง มาทำหน้าที่จัดเลือกตั้ง ส่งผลต่อการยอมรับของประชาชน
การไม่เป็นกฎหมายที่ใช้ทั่วไป เนื่องจากแต่ละองค์กรอิสระ มีการให้กรรมการพ้นสภาพแตกต่างกัน ความไม่เป็นเหตุผล ด้วยการอ้างว่าเพราะมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างและคุณสมบัติของผู้ดำรงตำแหน่ง แต่กลับองค์กรอิสระอื่นก็มีการเปลี่ยนแปลงเช่นกัน แต่ก็ให้อยู่ครบวาระได้ เช่น ผู้ตรวจการแผ่นดิน ความเป็นธรรม เลือกปฏิบัติ ทำให้บางองค์กรได้ประโยชน์ บางองค์กรเสียประโยชน์ การมีผลย้อนหลัง เป็นผลร้ายกระทบสิทธิหน้าที่ ซึ่งหลักกฎหมายปกติกฎหมายจะไม่มีผลย้อนหลังเป็นผลร้าย อีกทั้งยังมีปัญหาความโปร่งใสในกระบวนการทางกฎหมายโดยนำเสนอทิศทางให้ กกต. ที่มีคุณสมบัติอยู่ต่อไปได้ แต่กลับมาเปลี่ยนแปลงในชั้นกรรมาธิการของ สนช.โดยที่ กรธ. ไม่แสดงทาทีปกป้องหลักการที่ตนเองเสนอแต่แรก ทั้งหมดจึงเป็นการขัดกับ มาตรา 4 มาตรา 26 และ มาตรา 27 และขัดกับหลักนิติประเพณีในการออกกฎหมาย เพราะการลงมติในวาระ 3 ขัดกับหลักการที่ลงมติในวาระแรก ซึ่งไม่ปรากฏ ถ้อยคำตาม มาตรา 70 และยังขัดกับเจตนารมณ์ของรธน. ที่มีการบันทึกในขณะร่างรธน. ว่า ให้กรรมการที่มีคุณสมบัติครบ สามารถดำรงตำแหน่งอยู่ต่อไปจนครบวาระด้วย
"การเข้ามาดำรงตำแหน่งของ กกต.ชุดปัจจุบัน มีคุณสมบัติครบถ้วน และผ่านกระบวนการในการสรรหาโดยชอบด้วยรธน.ปี 50 การออกกฎหมายให้พ้นไปในทันที ย่อมถือว่าเป็นการออกกฎหมายมาย้อนหลัง เป็นการไม่ชอบ เทียบเคียงกับคำพิพากษาศาลฎีกา ที่ 1/2489 และคำพิพากษาศาลฎีกา ที่ 2277/2526 แม้สนช. จะเห็นว่าการกำหนดบทบัญญัติดังกล่าว จะเป็นเรื่องที่ทำให้เกิดการสร้างกลไกการปฏิรูปประเทศด้านต่างๆ ที่สำคัญ แต่บทบัญญัตินั้น ก็ต้องคำถึงถึงควาามร่วมมือระหว่างประชาชนทุกภาคส่วน กับหน่วยงานทั้งหลายของรัฐตามแนวทางประชารัฐภายใต้กฎเกณฑ์ตามหลักการปกครองในระบอบประชาธิปไตย หลักความสุจริต หลักสิทธิมนุษยชน และหลักธรรมาภิบาล ที่จะทำให้สามารถขับเคลื่อนประเทศให้พัฒนาไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคงยั่งยืน ทั้งในทางการเมือง การปกครอง เศรษฐกิจและสังคมตามคำปรารภของรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ด้วยมิฉะนั้นการบัญญัติกฎหมายในลักษณะนี้เป็นการจำกัดสิทธิ และรอนสิทธิของบุคคลที่มากเกินไป ซึ่งมีความรุนแรงกว่าหลักกฎหมายที่ว่า ตาต่อตา ฟันต่อฟัน "
การขอให้วินิจฉัยในกรณีนี้ ไม่ได้ทำเพราะยึดถือประโยชน์ส่วนตน หรือต้องการยับยั้งกระบวนการสรรหา กกต. ตาม พ.ร.ป.กกต. ที่กำลังดำเนินอยู่ให้ต้องหยุดชะงัก หรือใช้สิทธิคุ้มครองให้เกิดความล่าช้า ในกระบวนการสรรหา แต่ที่ยื่นคำร้อง ก็เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในอนาคต และเพื่อไม่ให้เกิดมาตรฐานในการร่าง พ.ร.ป. ฉบับอื่น ๆ เพราะขณะนี้ยังมี ร่าง พ.ร.ป. ของผู้ดำรงตำแหน่งองค์กรอิสระบางองค์กร อยู่ในระหว่างการพิจารณาของ สนช. หรือ กรธ. เพราะการออกกฎหมายที่เกี่ยวกับองค์กรอิสระ ควรเป็นลักษณะเดียวกัน แต่ที่ผ่านมามีความแตกต่าง 2 ประเภท คือ มีการเซตซีโร กสม. และกกต. แต่คุ้มครองให้ผู้ตรวจการแผ่นดิน อยู่ในตำแหน่งจนครบวาระ และอาจมีความแตกต่างในร่างกฎหมายอื่นอีก ทำให้มีมาตรฐานต่างกัน ขาดความเป็นเหตุผล ขัดหลักนิติธรรม จึงต้องยื่นเรื่องผ่านผู้ตรวจฯ ให้ศาลรธน. วินิจฉัย
ด้านนายรักษเกชา กล่าวว่า จะนำเรื่องรายงานต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน ในวันอังคาร 10 ต.ค.60 เพื่อพิจารณาว่า คำร้องอยู่ในอำนาจที่ผู้ตรวจการแผ่นดิน จะรับไว้พิจารณาได้หรือไม่ จากนั้นจึงพิจารณาว่า ร่าง พ.ร.ป.กกต. มีเนื้อหาขัดหรือแย้งกับรธน. ตามที่นายสมชัย ยื่นคำร้องหรือไม่ ซึ่งเป็นหน้าที่ของผู้ตรวจการแผ่นดิน จะพิจารณา
กำลังโหลดความคิดเห็น