สังคมนิยมปืนของคนอเมริกันต้องช็อกกับสถิติใหม่ จำนวนเหยื่อกระสุนปืน เกิดขึ้นใจกลางเมืองบ่อนกาสิโน ลาสเวกัส เมื่อชายวัยหลังเกษียณอายุ 64 ปี ใช้อาวุธสงครามสารพัด 23 กระบอกยิงจากห้องพักในโรงแรม มีคนกว่า 2 หมื่นคนเป็นเป้า
และเป็นเป้านิ่ง อยู่หน้าเวทีวงคอนเสิร์ตโล่งแจ้ง ห่างจากโรงแรมไม่กี่ร้อยเมตร! จากนั้นแฟนวงดนตรีซึ่งกำลังสนุกสนานต่างแข่งกันวิ่งหนีตาย ใครดวงดีก็รอด
มือสังหาร นายสตีเฟน แพดด็อก ยิงกระหน่ำด้วยอาวุธสงคราม เป็นปืนไรเฟิลอัตโนมัติ เสียงปืนดังเป็นข้าวตอกแตกนานประมาณ 10-15 นาที ทำให้มีผู้เสียชีวิต 59 ราย บาดเจ็บ 527 ราย ตัวเลขอาจเปลี่ยนถ้าผู้บาดเจ็บอาการสาหัสต้องเสียชีวิต
เป็นยอดตัวเลขคนเสียชีวิต และบาดเจ็บสูงสุดในบรรดานักสังหารด้วยปืนที่เคยมีในประวัติศาสตร์ยุคใหม่ของสหรัฐอเมริกา จากฝีมือของชายคนเดียว ซึ่งอาศัยอยู่ในเมืองเมสคีต มลรัฐเนวาดา ห่างจากจุดที่ตัวเองก่อเหตุเพียง 80 ไมล์
ผลจากการเข้าตรวจค้น มือสังหารมีอาวุธปืนไรเฟิลอัตโนมัติในห้องโรงแรม มัณฑะเลย์ เบย์ มากถึง 23 กระบอก จึงสามารถยิงกระหน่ำได้ต่อเนื่องจากหน้าต่างห้องชั้น 32 ซึ่งแพดด็อกได้ใช้ค้อนเหล็กทุบกระจกแตก 2 บานเพื่อสะดวกในการยิง
พนักงานทำความสะอาดห้องบอกว่าไม่พบเห็นอะไรผิดปกติภายในห้องโรงแรมซึ่งแพดด็อกได้เข้าไปพักในวันที่ 28 เดือนกันยายน ก่อนเริ่มมหกรรมสาดกระสุนจากอาวุธสงครามฆ่าไม่เลือกหน้า ซึ่งน่าจะวางแผนไว้เป็นอย่างดี
การขนอาวุธปืนเข้าไปในโรงแรมซึ่งเป็นบ่อนกาสิโนได้มากขนาดนั้นทำได้ไม่ง่าย เพราะในบ่อนกาสิโน ลาสเวกัส รวมทั้งพื้นที่ภายนอก มีกล้องวงจรปิดมากมาย จนมีการเปรียบเทียบว่าในลาสเวกัส มีกล้องตรวจสอบเฝ้าระวังมากที่สุดในโลก
เป็นปริศนาที่เจ้าหน้าที่ต้องขบให้แตกว่าแพดด็อก ทำได้อย่างไร!
เมื่อเจ้าหน้าที่ไปค้นที่บ้านแพดด็อก ก็พบปืนอีก 19 กระบอก กระสุนปืนอีกหลายพันนัด มีวัตถุระเบิดซึ่งสามารถประกอบใช้งานได้ เจ้าหน้าที่ได้สอบสวนร้านขายปืนซึ่งแพดด็อกได้ทยอยซื้อสะสมเพื่อก่ออาชญากรรมสังหารหมู่ครั้งรุนแรงที่สุด
การที่เจ้าหน้าที่ระงับเหตุร้ายได้ช้าเพราะมีความสับสนในช่วงที่นักดนตรีคนดัง เจสัน อัลดีน นักร้องประเภทคันทรี กำลังบรรเลงกีตาร์อย่างเมามัน ผู้ชมนึกว่าเป็นเสียงประทัด หรือลูกเล่นของวงในการเพิ่มบรรยากาศเร้าใจให้คุ้มค่าตั๋วเข้าชม
หลังจากมีคนล้มตายให้เห็นกันต่อหน้า ก็เกิดความแตกตื่นหนีห่ากระสุน ช่วงแรกไม่มีใครเห็นทิศทางของการยิง กว่าเจ้าหน้าที่จะบุกขึ้นไปถึงชั้นที่ 32 จำนวนผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บเพิ่มทุกนาที และไม่มีวี่แววว่าการยิงกระหน่ำจะสิ้นสุด
นายสตีเฟน แพดด็อก อาชีพนักบัญชี จบชีวิตด้วยการยิงตัวเอง หลังจากยิงสวนเจ้าหน้าที่หน่วยสวาท ขณะที่จะพังประตูห้องเข้าไป ล่าสุด เจ้าหน้าที่สรุปผลได้ว่ามีมือสังหารเพียงคนเดียว และไม่มีหลักฐานทำให้เชื่อว่าเป็นการก่อการร้าย
แพดด็อก ไม่เคยมีประวัติอาชญากรรม ไม่มีชื่อในรายงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ไม่มีความเกี่ยวโยงกับกลุ่มไอซิสตามคำอ้างของกลุ่มก่อการร้าย ซึ่งถูกมองว่าฉวยโอกาสตีกินจากเหตุร้ายครั้งนี้ ไม่มีหลักฐานว่ามือสังหารได้เปลี่ยนศาสนาเป็นอิสลาม
มูลเหตุจูงใจก่อเหตุไม่ปรากฏชัด แม้กระทั่งน้องชาย อีริค แพดด็อก ซึ่งอาศัยในรัฐฟลอริดา ยังงงงันกับการที่พี่ชายมีอาวุธปืนร้ายแรงมากมายขนาดนั้น
ในจำนวนเหตุร้ายมีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก อันดับรองเกิดขึ้นในเมืองออร์แลนโด รัฐฟลอริดา มือก่อเหตุได้สังหารคน 49 ราย ในปีที่แล้ว อันดับถัดไปเกิดในปี 2007 นักศึกษาเชื้อชาติเกาหลีได้สังหาร 32 รายโดยใช้ปืนพกไล่ยิงเหยื่อในรัฐเวอร์จิเนีย
หลังจากเหตุร้าย มีผู้เสียชีวิตจำนวนมากในแต่ละครั้ง มีกระแสเสียงเรียกร้องให้รัฐบาลแก้กฎหมายเกี่ยวกับการมีอาวุธปืน แต่ไม่ประสบความสำเร็จ เพราะอำนาจและอิทธิพลทางการเงินของบรรดาบริษัทผู้ผลิตอาวุธปืนในกลุ่มนักการเมือง
สมาคมปืนไรเฟิลแห่งชาติ ของสหรัฐฯ เป็นองค์กรไม่หวังผลกำไร ตั้งมาในปี 1871 มีสมาชิกมากกว่า 5 ล้านราย มีวัตถุประสงค์หลักคือปกป้องรักษาสิทธิของประชาชนในการมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองเพื่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน
เคยมีบุคคลซึ่งมีชื่อเสียงได้เรียกร้องให้แก้ไขกฎหมาย แต่ไม่เคยได้ไปไกลถึงขั้นนำเข้าสู่สภา เพราะถือว่าปืนเป็นสิ่งจำเป็นต้องมีในสังคมสหรัฐฯ ในยุครัฐบาลโอบามา ก็ได้พยายามขับเคลื่อน แต่ก็ต้องจอด ไปไม่รอด เพราะหาเสียงสนับสนุนได้ยาก
กรณีล่าสุด ก็มีเสียงเรียกร้องจากนางฮิลลารี คลินตัน อีกเช่นกัน ให้แก้ไขกฎหมายเพิ่มความเข้มงวดในการให้บุคคลธรรมดามีอาวุธปืนไว้ในครอบครอง แต่ในยุคที่รัฐบาลทรัมป์เป็นใหญ่ คงยากที่พรรครีพับลิกันจะยอมให้เปลี่ยนแปลงได้ง่าย
สหรัฐฯ เพิ่งมาเพิ่มความเข้มงวดไม่นานมานี้ ก่อนหน้านั้น การมีอาวุธปืนถือว่าง่าย ใช้ใบขับขี่หรือบัตรประจำตัวก็ใช้ซื้อจากร้านปืนได้โดยไม่ต้องสอบประวัติ และปืนมีราคาถูกมาก เช่นปืนยี่ห้อกล็อก หรือซิกซาวเออร์ นิยมในเมืองไทยราคาจิ๊บจ๊อย
ปืนวางขายในตู้โชว์ร้านเครื่องเล่นกีฬา เช่นกล็อกราคาเพียง 500 ดอลลาร์สหรัฐ หรือหมื่นกว่าบาท มาถึงเมืองไทยราคากระบอกละเกือบ 1 แสนบาท เพราะมีค่านั่นนี่โน่นสารพัด เป็นการเพิ่มต้นทุน และยังมีจำกัดเรื่องโควตา ทำให้แพงเกินจริง
รอดูว่าเหตุสยองขวัญล่าสุด จะนำไปสู่กฎหมายปืนในสหรัฐฯ เข้มงวดหรือไม่!