xs
xsm
sm
md
lg

ว่าด้วยความชุลมุนในเล้าไก่

เผยแพร่:   โดย: ทับทิม พญาไท


วันนี้...น่าจะได้เวลาร่อนกลับมาในเล้าไก่ เข่งไก่ กันดูมั่ง แต่คงไม่ใช่เพื่อตามไปดูชะตากรรมของคุณน้อง “ปู ยิ่งลักษณ์” ว่าจะออกหัว ออกก้อย ออกกลาง กันในแบบไหน อย่างไร เพราะไม่ว่าจะออกแบบไหน เธอก็ “ปูหนี” ไปเรียบโร้ยย์ย์ย์แล้ว แถมยังส่งผลให้ผู้ที่ไล่จับปู หรือไล่จับคนที่พาปูหนี เกิดอาการ “คุณแม่ขา...ปูน้อยหนีบมือ” ไปซะอีกต่างหาก...

เพราะสิ่งที่น่าสนใจสำหรับบ้านเราในช่วงระหว่างนี้ โดยเฉพาะถ้ามองจากมุมมองในที่สูง ก็คืออาการชุลมุน ชุลเก รวมทั้งอาการเป๋ไป เป๋มา ของรัฐบาล คสช.นั่นแหละทั่น ที่ทำให้ใครต่อใครปวดเศียรเวียนเกล้ากันไปมิใช่น้อย แยกไม่ออก บอกไม่ถูก ว่าอะไรดี อะไรเลว อะไรเหมาะ อะไรควร ทั้งๆ ที่ร่วม “เดินหน้าประเทศไทย” มาเกือบ 3 ปีกว่าๆ เข้าไปแล้ว และกำลังต้องกลับไปสู่การเลือกตั้งครั้งใหม่อีกรอมร่อ...

อาการชุลมุน ชุลเก ของผู้คนในสังคมนั้น...ดูจะมีอยู่หลายระดับด้วยกัน คือตั้งแต่ระดับขี้มือ ขี้ตีน ไปจนถึงระดับที่เต็มไปด้วยลำหัก ลำโค่น มีพลังพอที่จะพลิกหน้ามือเป็นหลังตีน หรือหลังตีนเป็นหน้ามือได้ทุกเมื่อ ซึ่งถ้าเป็นระดับเจ้าเก่า เจ้าเดิมที่ไม่ว่าหายใจเข้า หายใจออก ต้องมีแต่เรื่องประชาธิปไตย-ไม่ประชาธิปไตย ไปทุกดุ้น ทุกด้าม ปานประดุจว่าสิ่งเหล่านี้คือยาสารพัดโรคชนิดเอาไว้ใช้ทา ใช้ดม อม หยอด สอด เสียบ ได้โดยตลอด อันนั้น...คงไม่ถึงกับหนักหนาสาหัสมากมายซักเท่าไหร่ เรียกว่า...จัดอยู่ในประเภท “ลิเบอร่าน” ที่ยังไงๆ คงต้อง “ร่าน” ไปตามวาสนา คุณลักษณะนิสัย ที่คงไม่ต้องไปถือสาหาความอะไรมากมายนัก ยิ่งโดยประเภทเด็กๆ ด้วยแล้ว มีแต่ต้องอาศัย “ความเมตตา” นั่นแหละ ช่วยประคับประคอง รอเวลาให้เติบโต ให้พัฒนาวุฒิภาวะ ขึ้นมาเมื่อไหร่ ก็คงหายๆ กันไปเอง...

ส่วนพวกที่จัดอยู่ในประเภท “มีงาน” ทั้งหลาย...ก็ยังไม่ถึงกับน่าหนักใจซักเท่าไหร่ เพราะเมื่อไหร่ที่ “หัวหาย” หรือปราศจาก “ผู้ว่าจ้าง” ท่อน้ำเลี้ยง ท่อน้ำทิ้ง อุดตันขึ้นมาด้วยสาเหตุอะไรก็ตาม ก็คงฝ่อๆ กันไปเองตามลำดับไหล่ และช่วงตลอดระยะ 3 ปีกว่าๆ ก็ดูจะหายๆ กันไปเยอะแล้ว อยู่ในคุกบ้าง นอกคุกบ้าง ต่างประเทศบ้าง ถ้าตัวรัฐบาลเองไม่ถึงกับสะดุดหัวแม่ตีนตัวเองล้มคว่ำ คะมำหงาย ชนิดไม้จิ้มฟันแทงเหงือกดันเสือกตาย บรรดาผู้คนเหล่านี้ก็คงไม่ถึงกับมีฤทธิ์ มีเดช มากมายซักเท่าไหร่ ได้แต่ “เห่าใบตองแห้ง” ไปตามสภาพ ตามทางใคร-ทางมัน เผลอๆ...หันมา “กัดกันเอง” ก็มีให้เห็นอยู่เยอะไป...

ที่อาจเป็นเรื่อง เป็นราวขึ้นมาหน่อย...ก็คือพวกที่จัดอยู่ในประเภท “ไม่ทันใจ-ไม่ถูกใจ” หรือบรรดาพวกที่ออกจะหุดๆ หิดๆ อย่างเป็นนิสัย แม้จะแยกถูก-แยกผิด แยกดี-แยกชั่ว ได้ชัดเจนพอประมาณ แต่ด้วยความ “หุดหิด” อันเป็นองค์ประกอบพื้นฐานภายใต้ “อัตตา” ตัวเองนั่นเอง เลยหนีไม่พ้นต้องงัด “สากกะเบือบิน” ร่อนไป ร่อนมา เป็นครั้งคราว ซึ่งก็ไม่ถึงกับน่าวิตกอะไรมากมายอีกนั่นแหละ เพราะมันขึ้นๆ ลงๆ เมื่อขึ้นได้ก็ลงได้ ไปตามแต่ละฉากสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป-เปลี่ยนมา หรือที่ไม่ได้มีอะไรเป็น “เป้านิ่ง” ไปโดยตลอด...

ส่วนที่หนักใจอยู่ไม่น้อย...ก็เห็นจะเป็นพวกที่ไม่เห็นด้วยกับ “หลักการ” หรือ “วิธีการ” ของรัฐบาลในแต่ละเรื่อง แต่ละราว ซึ่งถ้าหากมันมีอยู่แค่ 2 เรื่อง 3 เรื่อง หรือไม่กี่เรื่อง มันก็คงพอ “อยู่ๆ กันไปได้” แต่หลังๆ นี้...คงปฏิเสธไม่ได้ว่า มันชักจะเพิ่มขึ้นๆ เป็นสิบๆ เรื่องไปแล้วก็ไม่รู้ โดยเฉพาะที่สำคัญเอามากๆ ก็คือ หลักการและวิธีการในกำหนด “ทิศทางประเทศไทย” ที่อาจเรียกว่า “ยุทธศาสตร์ชาติ” ก็ย่อมได้ ความไม่ชัดเจน ไม่แน่นอน ด้วยสาเหตุอันใดก็แล้วแต่ ที่ทำให้เกิดความแตกต่างระหว่างการ “วิ่งไล่กวดทุนนิยม” ต่อไปเรื่อยๆ หรือจะหันกลับมาสู่ “ความพอเพียง” การกำหนดระยะห่าง ระยะเคียง ของตัวเอง ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ความเป็นไปของโลก ที่มันน่าจะอยู่ในช่วง “ปลายยุคทุนนิยม” เข้าไปทุกที อันนี้นี่แหละที่ออกจะเป็นเรื่องใหญ่ เรื่องโต เป็นเรื่องจะอาศัยแค่ความมุ่งมั่น พยายาม เพียงอย่างเดียวคงไม่ได้ มีแต่ต้องอาศัย “สติ” และ “ปัญญา” เข้าไปแยกแยะรายละเอียด ทั้งในแง่ “หลักการ” และ “วิธีการ” ให้ชัดเจนไปตามลำดับ...

และคงต้องยอมรับนั่นแหละว่า ลำพังแต่จะอาศัย “ทหาร” ล้วนๆ...คงลำบาก!!! คือแค่ให้ถือปืน-แบกปูน-ไปโบกตึกก็เหนื่อยแล้ว ยิ่งถ้าหากเป็นทหารที่เติบโตขึ้นมาในวงแคบๆ ภายในรั้ว-ภายในวัง หรือแฉลบออกมาเรียน วปอ.แค่ไม่กี่ปีเท่านั้นเอง มันคงยากซ์ซ์ซ์เอามากๆ ที่จะมองฉากสถานการณ์ความเป็นไปของโลกและของสังคมไทยได้ครบหมด การอาศัย “ความมีส่วนร่วม” ของผู้คนในภาคต่างๆ จึงถือเป็นความจำเป็นอย่างมิอาจปฏิเสธได้ แต่ก็อีกนั่นแหละ...ถ้าความมีส่วนร่วมที่ว่าดันไปร่วมอยู่แต่เฉพาะผู้ที่เป็นมิตรสหาย พรรคพวก และบริวาร หรือแม้แต่การร่วมโดยอาศัย “ขา 2 ขา” เป็นหลัก คือหนึ่ง...ขาของระบบราชการ ส่วนอีกขาหนึ่ง...คือขาของธุรกิจเอกชน อันนี้...ก็ลำบากอีกเช่นกัน...

เพราะโดย “ระบบราชการ” นั้น...คงปฏิเสธไม่ได้ว่า มัน “เดดวูด” มานานแล้ว เรียกว่า...ถึงกับต้องเพียรพยายาม “ปฏิรูประบบราชการ” มาตั้งแต่ยุค “ป๋าเปรม” โน่นเลย แต่ก็ยังไม่เวิร์คมาจนตราบเท่าทุกวันนี้ ไม่ว่าจะด้วย “จุดยืน-ทัศนคติ-วิธีการ” ของระบบราชการนั้น มันเป็นอะไรที่ห่างเหินกับกระแสความเป็นไปของโลกและของท้องถิ่น(สังคม)ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ หรือมันกลายเป็นตัวลดทอนประสิทธิภาพ ลดทอนความมุ่งมั่น ตั้งใจของผู้กำหนดนโยบายได้อย่างหนักหน่วงเอามากๆ ส่วนธุรกิจเอกชนโดยทั่วไปนั้น ก็มักยืนอยู่บน “กระแสหลัก” หรือคุ้นเคยอยู่กับการยืนอยู่บน “กระแสทุนนิยม” ในช่วงที่มันยังไม่ถึงกับออกอาการปางตายเหมือนช่วงหลังๆ นี้...

อันนี้นี่แหละ...ที่ทำให้ “หลักการ” และ “วิธีการ” ของรัฐบาล เริ่มถูก “ตั้งคำถาม” หนักขึ้นเรื่อยๆ จากหนึ่งเรื่อง สองเรื่อง กลายเป็นสิบๆ เรื่องในทุกวันนี้ และที่น่าหนักใจเอามากๆ ยิ่งไปกว่านั้น ก็คือภายใต้ความขัดแย้งในเรื่อง “หลักการ” “วิธีการ” ที่ว่า มันชักจะเริ่มถูกสอดแทรก โดยบรรดาผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับ “ผลประโยชน์ต่างชาติ” ซึ่งกำลังอาศัยประเทศไทยเป็นสนามประลองกำลัง ทั้งในด้านการเมือง เศรษฐกิจ เพื่อช่วงชิงความได้เปรียบ-เสียเปรียบกันในแต่ละโครงการ ไม่ว่าจะเป็นประเภทรถไฟความเร็วสูง ความเร็วต่ำ อีอีซง อีอีซี ทวง ทวาย อะไรไปโน่นเลย ฯลฯ ทุกสิ่งทุกอย่าง...มันก็เลยชุลมุน ชุลเกจนแทบแยกไม่ออกว่าอะไรดี-อะไรชั่ว อะไรถูก-อะไรผิด หรือแม้แต่ใครดี-ใครเลว เอาเลยถึงขั้นนั้น!!!
กำลังโหลดความคิดเห็น