วานนี้ (17 ก.ย.) นายมาริษ กรัณยวัฒน์ ตัวแทนกลุ่มลาขาดควันยาสูบ และแอดมินเฟซบุ๊กเพจ “บุหรี่ไฟฟ้าคืออะไร”กล่าวถึง กรณีที่คณะแพทยศาสตร์ 3 สถาบัน ได้แก่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รพ.รามาธิบดี และรพ.ศิริราชฯ ได้จัดการประชุมวิชาการ พร้อมเสวนาในหัวข้อ“งานวิจัยนวัตกรรมทางการแพทย์”ซึ่งมีการกล่าวถึงนวัตกรรมใหม่ๆ ของบุหรี่ไฟฟ้าด้วยว่า ทราบว่าในการประชุม มีการนำผลการศึกษาจากสถาบันที่น่าเชื่อถือหลายแห่งในต่างประเทศ อาทิ องค์การอาหารและยา สหรัฐอเมริกา (US-FDA) ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งลอนดอน สำนักงานสาธารณสุขอังกฤษ มูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ประเทศอังกฤษ (ASH UK) ที่ระบุว่า บุหรี่ไฟฟ้า ควรได้รับการสนับสนุนให้เป็นทางเลือกสำหรับผู้สูบบุหรี่ เพราะมีความปลอดภัยกว่าบุหรี่มวนถึง 95% และไม่พบรายงานสรุปว่า เป็นตัวดึงดูดให้เด็ก หรือผู้ไม่สูบบุหรี่ หันมาสูบบุหรี่ และผลการวิจัยเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้า ยังคงมีออกมาเรื่อยๆ มาพิจารณาและแลกเกลี่ยนความคิดเห็นกันด้วย จึงต้องขอชื่นชมที่ทั้ง 3 สถาบันการแพทย์ ให้ความสำคัญ และเปิดรับฟังผลงานวิจัยและนวัตกรรมใหม่ๆ จากต่างประเทศ และหวังว่าวงการแพทย์ และนักวิจัยของไทย จะได้ติดตามผลการศึกษาเหล่านี้อย่างใกล้ชิด และให้คำแนะนำ หรือข้อสรุปที่เป็นกลางแก่ประชาชนทั่วไป หรือ อย่างน้อยที่สุดก็คิดถึงการให้ทางเลือกที่ปลอดภัยกว่ากับ 11 ล้านชีวิต ของผู้ที่สูบบุหรี่ในไทย
นายมาริษ กล่าวว่า สำหรับบุหรี่ไฟฟ้าในประเทศไทย ถือเป็นสินค้าต้องห้ามในการนำเข้า แต่ก็มีมูลค่าการซื้อขายใต้ดินกว่า 6 พันล้านบาท และมีผู้ใช้อยู่ราว 3 แสนคน ทั้งที่ใช้เพื่อต้องการเลิกบุหรี่ และลดความเสี่ยงต่อสุขภาพจากควันบุหรี่ ในขณะที่ฝ่ายต่อต้านบอกว่า บุหรี่ไฟฟ้ายอมรับว่าเป็นอันตรายน้อย แต่เป็นห่วงเด็กและเยาวชน จะหันมาใช้กันมากขึ้น หากบุหรี่ไฟฟ้าถูกกฎหมาย และยืนยันให้แบนต่อไป ทำให้รัฐสูญเสียโอกาสในการเก็บภาษี และควบคุมตามกฎหมายอีกด้วย
"บุหรี่ไฟฟ้า เป็นสินค้าที่ถูกต้องตามกฎหมาย ยุโรป และสหรัฐฯ รัฐบาลของหลายประเทศ ได้ออกกฎระเบียบสำหรับการใช้บุหรี่ไฟฟ้าอย่างระมัดระวัง บนพื้นฐานของผลการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งจะได้ประโยชน์ในแง่สุขภาพ ให้กับผู้สูบและการเก็บภาษีให้กับประเทศ ซึ่งรัฐบาลก็จะเข้ามาควบคุมได้เต็มที่ เก็บภาษีได้เต็มที่ ไม่ปล่อยให้มีการลักลอบซื้อขายกันอย่างทุกวันนี้" นายมาริษ ระบุ
นายมาริษ กล่าวว่า สำหรับบุหรี่ไฟฟ้าในประเทศไทย ถือเป็นสินค้าต้องห้ามในการนำเข้า แต่ก็มีมูลค่าการซื้อขายใต้ดินกว่า 6 พันล้านบาท และมีผู้ใช้อยู่ราว 3 แสนคน ทั้งที่ใช้เพื่อต้องการเลิกบุหรี่ และลดความเสี่ยงต่อสุขภาพจากควันบุหรี่ ในขณะที่ฝ่ายต่อต้านบอกว่า บุหรี่ไฟฟ้ายอมรับว่าเป็นอันตรายน้อย แต่เป็นห่วงเด็กและเยาวชน จะหันมาใช้กันมากขึ้น หากบุหรี่ไฟฟ้าถูกกฎหมาย และยืนยันให้แบนต่อไป ทำให้รัฐสูญเสียโอกาสในการเก็บภาษี และควบคุมตามกฎหมายอีกด้วย
"บุหรี่ไฟฟ้า เป็นสินค้าที่ถูกต้องตามกฎหมาย ยุโรป และสหรัฐฯ รัฐบาลของหลายประเทศ ได้ออกกฎระเบียบสำหรับการใช้บุหรี่ไฟฟ้าอย่างระมัดระวัง บนพื้นฐานของผลการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งจะได้ประโยชน์ในแง่สุขภาพ ให้กับผู้สูบและการเก็บภาษีให้กับประเทศ ซึ่งรัฐบาลก็จะเข้ามาควบคุมได้เต็มที่ เก็บภาษีได้เต็มที่ ไม่ปล่อยให้มีการลักลอบซื้อขายกันอย่างทุกวันนี้" นายมาริษ ระบุ