ถ้าท่านผู้อ่านย้อนไปดูพฤติกรรมองค์กรของพรรคการเมืองไทยในระยะเวลา 16 ปี โดยเริ่มจากปี พ.ศ. 2544 จนถึงปัจจุบัน ก็จะพบสิ่งแปลกใหม่เกิดขึ้น 2 ประการสรุปได้ดังนี้
1. ได้มีการนำกลยุทธ์ทางด้านการตลาดมาใช้ในการแข่งขันทางการเมืองในสนามเลือกตั้งอย่างเป็นรูปธรรมเป็นครั้งแรกในวงการเมืองไทย โดยการนำนโยบายประชานิยมในการปราศรัยหาเสียง เช่น 30 บาทรักษาทุกโรค และกองทุนหมู่บ้าน เป็นต้น ในทำนองเดียวกัน การแข่งขันเพื่อแย่งชิงส่วนแบ่งทางด้านการตลาด โดยใช้การลด แลก แจก แถมขององค์กรธุรกิจ
2. มีการรวมนายทุน และร่วมทุนเพื่อดำเนินธุรกิจการเมืองกวาดต้อนอดีต ส.ส.จากพรรคการเมืองต่างๆ เข้าไปอยู่ในพรรคที่จัดตั้งขึ้นใหม่ดำเนินกิจกรรมทางการเมืองในลักษณะของธุรกิจครอบครัว มีการสืบทอดอำนาจโดยเครือญาติเป็นทายาททางการเมือง
พรรคไทยรักไทยภายใต้การนำของ ทักษิณ ชินวัตร ผู้ประสบความสำเร็จในด้านธุรกิจ และหันเข้าสู่การเมืองเป็นผู้นำสิ่งแปลกใหม่ 2 ประการดังกล่าวข้างต้นมาใช้ในทางการเมือง และประสบความสำเร็จ จะเห็นได้จากการที่พรรคไทยรักไทยชนะการเลือกตั้งเหนือพรรคการเมืองเก่าแก่อย่างประชาธิปัตย์อย่างท่วมท้น และได้จัดตั้งรัฐบาลในปี พ.ศ. 2544 และสะดุดขาตนเองล้มในปี พ.ศ. 2549 เนื่องจากในปลายปี พ.ศ. 2548 รัฐบาลภายใต้การนำของ ทักษิณ ชินวัตร มีพฤติกรรมส่อเค้าไปในทางทุจริต และจาบจ้วงเบื้องสูง ทำให้ประชาชนกลุ่มหนึ่งได้รวมตัวกันภายใต้ชื่อ พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย หรือ พธม.ซึ่งนำโดยนายสนธิ ลิ้มทองกุล และพลตรีจำลอง ศรีเมือง เป็นต้น ได้ออกมาขับไล่ และจบลงด้วยการยึดอำนาจและดำเนินคดีกับทักษิณ ชินวัตร และยังให้ทักษิณต้องหนีโทษจำคุกออกนอกประเทศ ดังที่ทราบกันอยู่แล้ว
ถึงแม้ว่าผู้ก่อตั้งพรรคไทยรักไทย และเป็นผู้ริเริ่มในการนำนโยบายประชานิยมมาใช้เป็นเครื่องมือในการแข่งขันทางการเมืองได้จบชีวิตทางการเมืองไปแล้ว แต่นโยบายประชานิยมก็ยังถูกใช้เป็นเครื่องมือในการต่อสู้ทางการเมืองของระบอบทักษิณเรื่อยมาจนกระทั่งถึงยุคของพรรคเพื่อไทย ภายใต้การบงการและชี้นำของอดีตนายกฯ ทักษิณ โดยมีนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่งเป็นทั้งทายาททางสายโลหิต และทายาททางความคิดในด้านการเมืองเป็นผู้นำเงา เพื่อลงเลือกตั้งในปี พ.ศ. 2544 และในครั้งนี้ทางพรรคเพื่อไทยได้งัดกลยุทธ์ในการต่อสู้ทางการเมือง โดยใช้นโยบายประชานิยมแบบสุดโต่งคือโครงการรับจำนำข้าวเปลือกตันละ 15,000 บาท และส่งผลให้พรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้งโดยชนะคู่แข่งคือพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นพรรคการเมืองเก่าแก่และได้จัดตั้งรัฐบาลแล้วเดินหน้าโครงการรับจำนำข้าวอย่างจริงจัง ท่ามกลางเสียงท้วงติงจากบรรดานักวิชาการ และประชาชนที่ออกมาแสดงความคิดเห็นในเชิงคัดค้านด้วยความห่วงใยประเทศชาติอันเป็นส่วนรวม ด้วยให้เหตุผลว่าโครงการนี้จะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประเทศในทางการเงิน และธุรกิจค้าข้าวกับต่างประเทศ
แต่ผู้นำรัฐบาลไม่ยอมฟัง และแถมเดินหน้าโครงการอย่างเต็มที่
ในที่สุดโครงการนี้ก็ได้ก่อให้เกิดความเสียหายทางด้านการเงินหลายแสนล้านบาท และฝ่ายค้านได้นำเรื่องนี้มาอภิปรายในสภาฯ และได้ร้องต่อ ป.ป.ช.ให้สอบสวนเรื่องนี้ ในที่สุด ป.ป.ช.ได้นำเรื่องนี้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมถึง 2 คดีคือ
1. ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ทำให้รัฐเกิดความเสียหายตามมาตรา 157 โดยมีนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นจำเลย
2. ทุจริตในการระบายข้าว โดยการขายรัฐต่อรัฐหรือจีทูจี โดยมีข้าราชการการเมืองในระดับรัฐมนตรี ข้าราชการประจำในระดับอธิบดี และพลเรือนในระดับนายทุนในวงการธุรกิจค้าข้าวหลายคนเป็นจำเลย
ทั้ง 2 คดีดังกล่าวข้างต้น ได้เดินมาถึงวันพิพากษาตัดสินเมื่อวันที่ 25 สิงหาคมที่ผ่านมา และผลปรากฏว่าจำเลยในคดีที่ 1 ไม่มาศาล โดยอ้างว่าป่วย แต่ศาลไม่เชื่อ จึงได้ออกหมายจับพร้อมกับเลื่อนการพิพากษาไปในวันที่ 27 กันยายนที่จะถึงนี้
ส่วนคดีที่ 2 ได้มีการพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยมากบ้างน้อยบ้างตามสัดส่วนของการกระทำผิด และมีการยกฟ้องส่วนหนึ่งดังมีรายละเอียดปรากฏทางสื่อแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องนำมาเสนอซ้ำอีกในที่นี้
แต่ที่นำเรื่องนี้มาเขียนก็เพื่อให้ท่านผู้อ่านได้แง่คิดเกี่ยวกับนโยบายประชานิยม ซึ่งยังเป็นที่นิยมในหมู่ประชาชนและนักการเมือง ทั้งที่มาจากการเลือกตั้ง และนอกระบบเลือกตั้ง ทั้งนี้ด้วยเหตุว่าโครงการในลักษณะลด แลก แจก แถมนี้ ไม่ว่าจะเรียกประชานิยม หรือเรียกชื่ออื่นใด เป็นเสมือนดาบสองคมคือ มีทั้งให้คุณ และให้โทษ เนื่องจากเหตุปัจจัยดังต่อไปนี้
1. โครงการในลักษณะนี้ ต้องใช้เงินจำนวนมากเป็นภาระทางด้านการเงินให้รัฐบาลต้องแบกรับเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตามจำนวนความจำเป็นในการสนองความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย
ดังนั้น เมื่อกาลเวลาผ่านไปนานเข้า ภาระทางด้านงบประมาณจะต้องแบกรับหนี้สินอันเกิดจากการขาดดุลงบประมาณ และสุดท้ายการจัดเก็บภาษีในรูปแบบต่างๆ ก็จะต้องเพิ่มขึ้นเพื่อหารายได้มาชดเชยการขาดดุล และถ้าเป็นเช่นนี้ ผู้ที่เดือดร้อนก็คือประชาชนผู้เสียภาษีเงินได้ทั้งประเทศนั่นเอง
2. โครงการประชานิยม มีกลุ่มเป้าหมายเพียงกลุ่มเดียวที่ได้รับประโยชน์ เช่น โครงการรับจำนำข้าว เป็นต้น ชาวนาเท่านั้นที่รับประโยชน์โดยตรง แต่ถ้าโครงการล้มเหลว ต้องใช้เงินจากการเก็บภาษีจากคนทุกอาชีพมาใช้หนี้ ซึ่งไม่เป็นธรรมแก่สังคมโดยรวม
3. โครงการประชานิยมมีลักษณะเปราะบางในการป้องกันการรั่วไหล จึงเป็นเหตุให้เกิดการทุจริตได้ง่าย ถ้าไม่มีการป้องกันอย่างรอบคอบและรัดกุม ก็จะเป็นช่องว่างให้ผู้ดำเนินการที่ขาดคุณธรรม และจริยธรรมแสวงหาประโยชน์ได้ง่าย ทั้งในรูปแบบตามน้ำ และทวนน้ำ ดังที่ปรากฏให้เห็นในโครงการรับจำนำข้าว ซึ่งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้พิพากษาให้เห็นเป็นตัวอย่างแล้วเมื่อวันที่ 25 สิงหาคมที่ผ่านมา และคำพิพากษาในคดีดังกล่าวนี้ น่าจะบ่งบอกถึงจุดจบของนโยบายประชานิยมสามานย์ได้อย่างเป็นรูปธรรม
1. ได้มีการนำกลยุทธ์ทางด้านการตลาดมาใช้ในการแข่งขันทางการเมืองในสนามเลือกตั้งอย่างเป็นรูปธรรมเป็นครั้งแรกในวงการเมืองไทย โดยการนำนโยบายประชานิยมในการปราศรัยหาเสียง เช่น 30 บาทรักษาทุกโรค และกองทุนหมู่บ้าน เป็นต้น ในทำนองเดียวกัน การแข่งขันเพื่อแย่งชิงส่วนแบ่งทางด้านการตลาด โดยใช้การลด แลก แจก แถมขององค์กรธุรกิจ
2. มีการรวมนายทุน และร่วมทุนเพื่อดำเนินธุรกิจการเมืองกวาดต้อนอดีต ส.ส.จากพรรคการเมืองต่างๆ เข้าไปอยู่ในพรรคที่จัดตั้งขึ้นใหม่ดำเนินกิจกรรมทางการเมืองในลักษณะของธุรกิจครอบครัว มีการสืบทอดอำนาจโดยเครือญาติเป็นทายาททางการเมือง
พรรคไทยรักไทยภายใต้การนำของ ทักษิณ ชินวัตร ผู้ประสบความสำเร็จในด้านธุรกิจ และหันเข้าสู่การเมืองเป็นผู้นำสิ่งแปลกใหม่ 2 ประการดังกล่าวข้างต้นมาใช้ในทางการเมือง และประสบความสำเร็จ จะเห็นได้จากการที่พรรคไทยรักไทยชนะการเลือกตั้งเหนือพรรคการเมืองเก่าแก่อย่างประชาธิปัตย์อย่างท่วมท้น และได้จัดตั้งรัฐบาลในปี พ.ศ. 2544 และสะดุดขาตนเองล้มในปี พ.ศ. 2549 เนื่องจากในปลายปี พ.ศ. 2548 รัฐบาลภายใต้การนำของ ทักษิณ ชินวัตร มีพฤติกรรมส่อเค้าไปในทางทุจริต และจาบจ้วงเบื้องสูง ทำให้ประชาชนกลุ่มหนึ่งได้รวมตัวกันภายใต้ชื่อ พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย หรือ พธม.ซึ่งนำโดยนายสนธิ ลิ้มทองกุล และพลตรีจำลอง ศรีเมือง เป็นต้น ได้ออกมาขับไล่ และจบลงด้วยการยึดอำนาจและดำเนินคดีกับทักษิณ ชินวัตร และยังให้ทักษิณต้องหนีโทษจำคุกออกนอกประเทศ ดังที่ทราบกันอยู่แล้ว
ถึงแม้ว่าผู้ก่อตั้งพรรคไทยรักไทย และเป็นผู้ริเริ่มในการนำนโยบายประชานิยมมาใช้เป็นเครื่องมือในการแข่งขันทางการเมืองได้จบชีวิตทางการเมืองไปแล้ว แต่นโยบายประชานิยมก็ยังถูกใช้เป็นเครื่องมือในการต่อสู้ทางการเมืองของระบอบทักษิณเรื่อยมาจนกระทั่งถึงยุคของพรรคเพื่อไทย ภายใต้การบงการและชี้นำของอดีตนายกฯ ทักษิณ โดยมีนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่งเป็นทั้งทายาททางสายโลหิต และทายาททางความคิดในด้านการเมืองเป็นผู้นำเงา เพื่อลงเลือกตั้งในปี พ.ศ. 2544 และในครั้งนี้ทางพรรคเพื่อไทยได้งัดกลยุทธ์ในการต่อสู้ทางการเมือง โดยใช้นโยบายประชานิยมแบบสุดโต่งคือโครงการรับจำนำข้าวเปลือกตันละ 15,000 บาท และส่งผลให้พรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้งโดยชนะคู่แข่งคือพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นพรรคการเมืองเก่าแก่และได้จัดตั้งรัฐบาลแล้วเดินหน้าโครงการรับจำนำข้าวอย่างจริงจัง ท่ามกลางเสียงท้วงติงจากบรรดานักวิชาการ และประชาชนที่ออกมาแสดงความคิดเห็นในเชิงคัดค้านด้วยความห่วงใยประเทศชาติอันเป็นส่วนรวม ด้วยให้เหตุผลว่าโครงการนี้จะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประเทศในทางการเงิน และธุรกิจค้าข้าวกับต่างประเทศ
แต่ผู้นำรัฐบาลไม่ยอมฟัง และแถมเดินหน้าโครงการอย่างเต็มที่
ในที่สุดโครงการนี้ก็ได้ก่อให้เกิดความเสียหายทางด้านการเงินหลายแสนล้านบาท และฝ่ายค้านได้นำเรื่องนี้มาอภิปรายในสภาฯ และได้ร้องต่อ ป.ป.ช.ให้สอบสวนเรื่องนี้ ในที่สุด ป.ป.ช.ได้นำเรื่องนี้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมถึง 2 คดีคือ
1. ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ทำให้รัฐเกิดความเสียหายตามมาตรา 157 โดยมีนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นจำเลย
2. ทุจริตในการระบายข้าว โดยการขายรัฐต่อรัฐหรือจีทูจี โดยมีข้าราชการการเมืองในระดับรัฐมนตรี ข้าราชการประจำในระดับอธิบดี และพลเรือนในระดับนายทุนในวงการธุรกิจค้าข้าวหลายคนเป็นจำเลย
ทั้ง 2 คดีดังกล่าวข้างต้น ได้เดินมาถึงวันพิพากษาตัดสินเมื่อวันที่ 25 สิงหาคมที่ผ่านมา และผลปรากฏว่าจำเลยในคดีที่ 1 ไม่มาศาล โดยอ้างว่าป่วย แต่ศาลไม่เชื่อ จึงได้ออกหมายจับพร้อมกับเลื่อนการพิพากษาไปในวันที่ 27 กันยายนที่จะถึงนี้
ส่วนคดีที่ 2 ได้มีการพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยมากบ้างน้อยบ้างตามสัดส่วนของการกระทำผิด และมีการยกฟ้องส่วนหนึ่งดังมีรายละเอียดปรากฏทางสื่อแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องนำมาเสนอซ้ำอีกในที่นี้
แต่ที่นำเรื่องนี้มาเขียนก็เพื่อให้ท่านผู้อ่านได้แง่คิดเกี่ยวกับนโยบายประชานิยม ซึ่งยังเป็นที่นิยมในหมู่ประชาชนและนักการเมือง ทั้งที่มาจากการเลือกตั้ง และนอกระบบเลือกตั้ง ทั้งนี้ด้วยเหตุว่าโครงการในลักษณะลด แลก แจก แถมนี้ ไม่ว่าจะเรียกประชานิยม หรือเรียกชื่ออื่นใด เป็นเสมือนดาบสองคมคือ มีทั้งให้คุณ และให้โทษ เนื่องจากเหตุปัจจัยดังต่อไปนี้
1. โครงการในลักษณะนี้ ต้องใช้เงินจำนวนมากเป็นภาระทางด้านการเงินให้รัฐบาลต้องแบกรับเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตามจำนวนความจำเป็นในการสนองความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย
ดังนั้น เมื่อกาลเวลาผ่านไปนานเข้า ภาระทางด้านงบประมาณจะต้องแบกรับหนี้สินอันเกิดจากการขาดดุลงบประมาณ และสุดท้ายการจัดเก็บภาษีในรูปแบบต่างๆ ก็จะต้องเพิ่มขึ้นเพื่อหารายได้มาชดเชยการขาดดุล และถ้าเป็นเช่นนี้ ผู้ที่เดือดร้อนก็คือประชาชนผู้เสียภาษีเงินได้ทั้งประเทศนั่นเอง
2. โครงการประชานิยม มีกลุ่มเป้าหมายเพียงกลุ่มเดียวที่ได้รับประโยชน์ เช่น โครงการรับจำนำข้าว เป็นต้น ชาวนาเท่านั้นที่รับประโยชน์โดยตรง แต่ถ้าโครงการล้มเหลว ต้องใช้เงินจากการเก็บภาษีจากคนทุกอาชีพมาใช้หนี้ ซึ่งไม่เป็นธรรมแก่สังคมโดยรวม
3. โครงการประชานิยมมีลักษณะเปราะบางในการป้องกันการรั่วไหล จึงเป็นเหตุให้เกิดการทุจริตได้ง่าย ถ้าไม่มีการป้องกันอย่างรอบคอบและรัดกุม ก็จะเป็นช่องว่างให้ผู้ดำเนินการที่ขาดคุณธรรม และจริยธรรมแสวงหาประโยชน์ได้ง่าย ทั้งในรูปแบบตามน้ำ และทวนน้ำ ดังที่ปรากฏให้เห็นในโครงการรับจำนำข้าว ซึ่งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้พิพากษาให้เห็นเป็นตัวอย่างแล้วเมื่อวันที่ 25 สิงหาคมที่ผ่านมา และคำพิพากษาในคดีดังกล่าวนี้ น่าจะบ่งบอกถึงจุดจบของนโยบายประชานิยมสามานย์ได้อย่างเป็นรูปธรรม