xs
xsm
sm
md
lg

จะเดินหน้าประเทศไทยแบบไหน???

เผยแพร่:   โดย: ทับทิม พญาไท

<b>ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี</b>
ชักเหนื่อยๆ ขึ้นมาแล้ว...สำหรับการ “เอียงหู” ฟังเรื่องคุณน้อง “ปู ยิ่งลักษณ์” หนีไปดูดอก ดูใบ หรือดูอะไรต่อมิอะไรก็ตามที แต่ครั้นจะเปิดเข่งไก่ ไปดูโลก ดูประเทศโน้น ประเทศนี้ ส่วนใหญ่ก็ยังคงวนไป-วนมา กั๊กไป-กั๊กมา ยังไม่มีใครบังอาจ หาญกล้าถึงขั้นคิดลงมือ-ลงตีนอย่างที่พูดๆ กันเอาไว้ ด้วยเหตุนี้...คงต้องหยิบเอาเรื่อง “การเดินหน้าประเทศไทย” เนื่องในโอกาส “โพสต์ทักษิณ” หรือ “โพสต์ยิ่งลักษณ์” มาว่ากันให้เป็นเนื้อ เป็นหนัง หรือพอมีเนื้อๆ หนังๆ ติดกระดูกเอาไว้มั่ง น่าจะเข้าท่ากว่า หรืออาจพอเป็นประโยชน์ได้บ้างแม้แต่เล็กๆ น้อยๆ ก็ยังดี...

อย่างที่พอรู้ๆ อยู่แล้วว่า...ยังไงๆ ประเทศไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮาหนีไม่พ้นต้องเดินหน้าไปสู่ความเป็น “ไทยแลนด์ 4.0” ตามเป้าหมายยุทธศาสตร์ของรัฐบาล คสช.อย่างมิอาจปฏิเสธและหลีกเลี่ยงได้ คือถ้าหากคิดจะปฏิเสธหรือหลีกเลี่ยง เผลอๆ...อาจถึงขั้น “คุก-คุก-คุก” ตามพ.ร.บ.ยุทธศาสตร์ชาติเอาง่ายๆ ด้วยเหตุนี้...ไม่ว่าต้องใช้เวลาอีกซัก 10 ปี 20 ปี ตามแนวทางยุทธศาสตร์ของ “บิ๊กตู่” หรือของ “คณะกรรมการ” รายใดก็แล้วแต่ สิ่งที่น่าสนใจ และน่าเตรียมตัว เตรียมใจ เอาไว้ซะแต่เนิ่นๆ ก็คือการหันมาทำความเข้าใจกับความเป็น “ไทยแลนด์ 4.0” กันให้ชัดๆ ว่าตกลงแล้วมันเอาไง ไปไง กันแน่!!!

เพราะแม้กระทั่งบัดนี้...ตัวของรัฐบาลเอง หรือแม้แต่ตัวของ “บิ๊กตู่” ยังต้องพูดแบบลิ้นพันกันไป-พันกันมา คือพูดเท่าไหร่ก็ยังคง “ไม่ชัด” ว่ามันจะ “4.0” ในแบบไหน อย่างไร แบบที่ต้องพยายามวิ่งไล่กวดเทคโนโลยีขั้นสูง เพื่อให้เกิดการเติบโตขยายตัวต่อภาคธุรกิจอุตสาหกรรม เกษตร วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ภาคการเงิน-การธนาคาร ฯลฯ เป็นหลัก หรือจะหันมาเน้นหนัก ด้วยการหยิบเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาเสริม เพื่อให้เกิดการเติบโตขยายตัวของภาคธุรกิจบริการ การท่องเที่ยว การแพทย์ หรือการดูแลรักษาสุขภาพทางร่างกาย จิตใจ ฯลฯ ตามแบบฉบับแขกไป-ใครมาเมื่อมาถึงเรือนชานย่อมต้องประทับใจต่อความเป็นไทยๆ ไปด้วยกันทั้งสิ้น ฯลฯ หรืออย่างที่ “อาจารย์เอนก เหล่าธรรมทัศน์” หนึ่งในคณะกรรมการปฏิรูปด้านไหนต่อด้านไหน ก็จำไม่ได้ซะแล้ว ท่านให้ชื่อเรียกขานเอาไว้ในนาม “เศรษฐกิจแบบหลั่นล้า” นั่นเอง ซึ่งคงไม่ได้ต่างอะไรไปจากที่ “อาจารย์พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต” ท่านพยายามหันมาเปลี่ยนคำเรียกเสียใหม่ เพื่อไม่ให้ฟังแล้วจั๊กกะจี้ จั๊กกะเดียมจนเกินไป ว่า “เศรษฐกิจสุนทรียภาพ” อะไรประมาณนั้น...

ภายใต้ความพยายามวางแนวทางยุทธศาสตร์เพื่อนำไปสู่ความเป็น “ไทยแลนด์ 4.0” ที่ว่า จึงออกจะมีลักษณะ “2 แนวทาง” อยู่ภายในตัวของมันเอง คือขึ้นอยู่กับจะ “เน้นหนัก” ไปในแนวไหน ถ้าว่ากันตามแนวของ “ป๋าดัน” หรือของ “ดร.สมคิด” รองนายกฯ เศรษฐกิจของ “บิ๊กตู่” แล้ว ออกจะหนักไปทางมุ่งไปสู่อุตสาหกรรม เกษตร การเงิน-การธนาคาร แบบประเภทคิดจะเป็นฮ๊ง เป็นฮับ คิดจะเชื่อมระเบียงเศรษฐกิจ ต่อดาดฟ้า เปลี่ยนฝ้า เปลี่ยนเพดาน ฯลฯ อะไรไปโน่น แต่ถ้าจะว่ากันตามแนวของ “ดร.เอนก” หรือ “ดร.พิชาย รัตนดิลก” ก็แล้วแต่ อาจไม่ถึงกับต้องวิ่งไล่กวดเทคโนโลยีชนิดลิ้นหอบ ลิ้นห้อยอะไรมากมายนัก แต่ด้วยอาศัยการผสมผสานระหว่างเทคโนโลยีกับลักษณะทางวัฒนธรรม ประเพณี อุปนิสัยใจคอของคนไทย โดยเน้นหนักไปที่ภาคบริการเป็นหลัก ย่อมสามารถนำไปสู่ความเป็น 4.0 ได้เช่นกัน แถมยังหลั่นล้าได้ด้วย มีสุนทรียภาพตามไปด้วย โดยไม่ถึงกับต้องออกแรงดัน แรงปั่น ให้แข็งโด่ แข็งเด่ เป็นแท่งๆ ด้ามๆ แต่อย่างใด...

ดังนั้น...ในช่วงราวๆ ปลายเดือนที่ผ่านมา สถาบันคลังปัญญาด้านยุทธศาสตร์ชาติ วิทยาลัยธุรกิจ มหาวิทยาลัยรังสิต เขาจึงได้จัดเวทียุทธศาสตร์ เพื่อระดมความคิด ความอ่านของบรรดานักคิด นักยุทธศาสตร์ทั้งหลาย ให้ช่วยมาขบ มาคิด ต่อลักษณะความแตกต่างของ “2 แนวทาง” ที่ว่า และได้เริ่มๆ แสดงให้เห็นท่ามกลางความพยายามมุ่งไปสู่ “ไทยแลนด์ 4.0” โดยไม่ต้องเสียเวลารอการแต่งตั้งจาก “บิ๊กตู่” อย่างเป็นทางการเอาเลยแม้แต่น้อย ซึ่งก็มีนักคิด นักยุทธศาสตร์ ระดับเบ้งๆ หลายราย เข้าไปร่วมเวทีแห่งนี้ ไม่ว่าไล่มาตั้งแต่ “อาจารย์วรากรณ์ สามโกเศศ” อดีตรัฐมนตรีช่วยศึกษาธิการ “อาจารย์ณรงค์ เพชรประเสริฐ” ผู้ผันตัวเองจาก “เศรษฐสยาม” สู่ “เศรษฐไทยพีบีเอส” บางช่วงบางระยะ “อาจารย์ชัยวัฒน์ ถิรพันธ์” รวมถึง “อาจารย์เอนก เหล่าธรรมทัศน์” เจ้าของลิขสิทธิ์ทางปัญญา “เศรษฐกิจหลั่นล้า” ซึ่งไม่ได้จดสิทธิบัตรเอาไว้แต่แรก...

โดยสรุปรวมความแล้ว...บรรดานักคิด-นักยุทธศาสตร์เหล่านี้ ล้วนเห็นพ้องต้องกันว่า “เศรษฐกิจหลั่นล้า” หรือ “เศรษฐกิจสุนทรียภาพ” ที่หันมาเน้นหนัก “ภาคบริการ” ให้หนักๆ เข้าไว้นั่นแหละ น่าจะเป็นสิ่งสอดคล้องกับสังคมไทย หรือแม้แต่สังคมโลกมากที่สุด ดังที่ “อาจารย์วรากรณ์” ท่านแจกแจงตัวเลขสถิติให้เห็นกันจะจะว่าถ้ามองจาก “GDPโลก” ในช่วงปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจภาคบริการนั้น มีสัดส่วนมากถึง 60 เปอร์เซ็นต์ อุตสาหกรรมแค่ 30 เปอร์เซ็นต์ และเกษตรเพียง 6 เปอร์เซ็นต์ตามลำดับ ไม่ต่างไปจาก “GDP ประเทศไทย” ช่วงเดียวกัน สัดส่วนภาคบริการพุ่งไปถึง 52 เปอร์เซ็นต์ อุตสาหกรรม 34 เปอร์เซ็นต์ เกษตรแค่ 13 เปอร์เซ็นต์ การหันมาเน้นภาคบริการ หันมาให้ความสำคัญกับเศรษฐกิจหลั่นล้า จึงน่าจะถือเป็นทิศทางยุทธศาสตร์ที่สอดคล้องกับโลกและประเทศไทยอย่างเป็นที่สุด...

แต่ก็นั่นแหละ...สุดท้ายย่อมขึ้นอยู่กับว่า “บิ๊กตู่” ท่านคิดจะหลั่นล้าไปด้วยหรือไม่ หรือท่านมุ่งจะสร้างระเบียงเศรษฐกิจ มุ่งเดินหน้าประเทศไทยไปสู่ความเป็น “ไทยแลนด์ 4.0” ตามแบบฉบับของท่าน หรือของ “ป๋าดัน” ก็แล้วแต่ ส่วนเรื่องหลั่นล้า ไม่หลั่นล้า อาจต้องปล่อยให้เป็นเรื่องของคุณน้อง “ลำไย ไหทองคำ” ว่าไปตามสภาพ ปัญหาจึงมีอยู่ว่า...ภายใต้ยุทธศาสตร์ซึ่งดันมามีลักษณะแบบ “2 แนวทาง” ที่ว่านี้รัฐบาลใหม่ในอนาคตข้างหน้า ไม่ว่านายกรัฐมนตรีเป็นใคร...จะเลือกเดินไปในแนวไหน อีกทั้งพ.ร.บ.ยุทธศาสตร์ชาติ จะเปิดช่อง เปิดทางให้กับทางเลือกนั้นๆ มาก-น้อยเพียงใด???
กำลังโหลดความคิดเห็น