ส.นักข่าวฯออกแถลงการณ์ซัด ตร.จับ “นักข่าวอิศรา” ยัดข้อหาบุกรุกหอพัก “บิ๊กป๊อด” ชี้คุกคาม-ละเมิดสิทธิ เผย “เมียพัชรวาท” ส่ง มอบอำนาจ “รอง ผกก.ตม.จันทบุรี” มาแจ้งความ “วัชรพล” เผยอยู่ระหว่างรวบรวมหลักฐาน “พัชรวาท” ร่ำรวยผิดปกติ หลังมีผู้ร้องเรียนตั้งแต่ปี 53 อ้าง ป.ป.ช.เรื่องค้างอื้อ แต่เจ้าหน้าที่มีน้อย ไม่ปฏิเสธถูกมองเกรงใจจำเลยคดีสลายพันธมิตรฯที่มี “พัชรวาท” รวมอยู่ด้วย รับสัมพันธ์ “บ้านวงษ์สุวรรณ” จุดอ่อนชีวิต ส่วนเรื่องอุทธรณ์ คาดใช้เวลา 1-2 สัปดาห์คัดคำพิพากษา ยันทันกรอบ 30 วัน
จากกรณีที่ นายณัฐพร วีระนันท์ อายุ 28 ปี ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศรา ถูกตำรวจ สน.พหลโยธิน จับกุมโดยมีผู้เสียหายแจ้งความให้ดำเนินคดีในข้อหาบุกรุกหลังลงพื้นที่ดูหอพัก "เก๋ ไก๋ อพาร์ตเมนต์" หจก.สมถวิล เรียลเอสเตรท ย่านซอยพหลโยธิน 32 ถนนรัชดาภิเษก แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กทม. ซึ่งเปิดเป็นอพาร์ตเมนต์ให้เช่าพักอาศัย เพื่อสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับหอพัก ในตรวจสอบบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) และอดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ที่กำลังถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ไต่สวนการแจ้งบัญชีทรัพย์สิน ฐานร่ำรวยผิดปกติ
โดยเมื่อเวลา 21.00 น.ของวันที่ 9 ส.ค. ที่ สน.พหลโยธิน พ.ต.ท.เฉลิมชนม์ แหลมทอง ตำรวจในราชการ ตำแหน่ง รองผู้กำกับ (ผกก.) ตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) จ.จันทบุรี ในฐานะผู้รับมอบอำนาจ จากนางสมถวิล วงษ์สุวรรณ ภรรยา พล.ต.อ.พัชรวาท ได้เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดีกับนายณัฐพรข้อหาบุกรุก ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้ทำการสอบปากคำนายณัฐพร และผู้รับมอบอำนาจนานกว่า 2 ชม. โดยไม่ได้ให้ข้อมูลอื่นๆใด ก่อนที่ นายประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์ ผู้อำนวยการสถาบันอิศราฯ จะเป็นนายประกัน ประกันตัวนายณัฐพร ด้วยเงินสด 15,000 บาท เมื่อเวลา 01.00 น.ของวันที่ 10 ส.ค.
โดย นายประสงค์ เปิดเผยว่า ต้องรอพนักงานสอบสวนสรุปสำนวนในวันที่ 1 ก.ย.นี้ ว่าจะสั่งฟ้องหรือไม่ฟ้อง ส่วนที่ว่าคุกคามสื่อหรือไม่ต้องให้ประชาชนมองเองว่า เป็นการคุกคามหรือไม่
วานนี้ (10 ส.ค.) ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและรมว.กลาโหม ในฐานะพี่ชายของ พล.ต.อ.พัชรวาท ตอบคำถามกรณีผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศรา ถูกแจ้งจับในข้อหาบุกรุกหอพักของของ พล.ต.อ.พัชรวาทว่า ยังไม่รู้เรื่องว่าโดนจับเรื่องอะไร ไม่มีปัญหาว่ากันไปตามกฎหมาย กฎหมายว่าอย่างไรก็ว่าตามนั้น แต่ส่วนตัวยังไม่รู้เรื่องเลย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ฝ่ายสิทธิเสรีภาพและการปฏิรูปสื่อ สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ได้ออกแถลงการณ์เรื่อง “หยุดคุกคามการปฏิบัติหน้าที่ของผู้สื่อข่าว” กรณีของนายณัฐพร โดยเห็นว่า การกระทำของเจ้าหน้าที่ตำรวจมีลักษณะเป็นการใช้กฎหมายเพื่อข่มขู่คุกคามการทำหน้าที่ของสื่อมวลชน รวมทั้งตำรวจไม่มีอำนาจในการยึดโทรศัพท์ของผู้สื่อข่าวเพื่อดูข้อมูลภายในที่เป็นการละเมิดสิทธิ และเปิดช่องให้เจ้าหน้าที่กลั่นแกล้ง ยัดข้อหาให้กับผู้สื่อข่าวด้วย
อีกด้านที่สำนักงาน ป.ป.ช. พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธาน ป.ป.ช. กล่าวถึงความคืบหน้าในการไต่สวนบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน พล.ต.อ.พัชรวาท ว่า มีการตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนฯกรณีนี้แล้ว อยู่ระหว่างดำเนินการรวบรวมพยานและหลักฐาน เท่าที่ทราบดำเนินการอยู่ ปัจจุบันเรื่องในชั้นไต่สวนของ ป.ป.ช. มีกว่า 2,700 เรื่อง มีทั้งเรื่องด่วน และเรื่องแสวงหาข้อเท็จจริง รวมถึงเจ้าหน้าที่ในชั้นการไต่สวน ป.ป.ช. ค่อนข้างน้อย ทำให้อาจมีปัญหาติดขัดในการไต่สวน แต่ ป.ป.ช. พยายามเร่งเครื่อง เร่งทำ แต่มีบางคนเตือนว่า ถ้าเร่งทำ ต้องมีคุณภาพ และให้ความเป็นธรรมกับผู้ถูกกล่าวหาด้วย
ผู้สื่อข่าวถามว่า คดีดังกล่าวไต่สวนมากว่า 7 ปีแล้ว จะมีการเร่งรัดหรือไม่ พล.ต.อ.วัชรพล กล่าวว่า ขณะนี้มีหลายเรื่องที่ประชาชนให้ความสนใจ ได้บอกให้เจ้าหน้าที่ดูว่า เรื่องนี้คืบหน้าถึงไหน ดำเนินการอย่างไรบ้างแล้ว และให้รวบรวมพยานหลักฐานรายงานมาเป็นเรื่องๆ การตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินต้องดูหลายส่วน และต้องขอความร่วมมือหลายหน่วยงาน เช่น ธนาคาร หรือกรมที่ดิน ต้องใช้ระยะเวลาให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตอบ ยิ่งถ้าเป็นข้อมูลย้อนหลัง ต้องให้เวลาเจ้าหน้าที่ หรือหน่วยงานที่เป็นเจ้าของเรื่องไปตรวจสอบด้วย ยืนยันว่ากระบวนการไต่สวนนี้เป็นอิสระ ไม่สามารถก้าวก่ายได้
ส่วนความคืบหน้าการพิจารณาอุทธรณ์คำพิพากษา ในคดีสลายการชุมนุมกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย หน้ารัฐสภา ปี 2551 ต่อที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา ที่มีกำหนดไม่เกิน 30 วันหลังศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผ๔ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิพากษายกฟ้องจำเลย 4 คน เมื่อวันที่ 2 ส.ค.ที่ผ่านมา พล.ต.อ.วัชรพล กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่ได้รับการคัดลอกคำพิพากษาคดีจากศาลฎีกาฯ โดยกำลังติดตามอยู่ ปกติการคัดลอกคำพิพากษากลางใช้เวลา 1 - 2 สัปดาห์ และต้องวิเคราะห์ข้อมูล ข้อเท็จจริงต่างๆ ให้ชัดเจน โดยยืนยันว่า จะพิจารณาอุทธรณ์ได้ทันภายในกรอบเวลา 30 วัน โดยผลการพิจารณาจะต้องตอบสังคมได้ ทั้งนี้ ป.ป.ช.ไม่กดดัน เพราะเป็นหน้าที่ ทุกอย่างทำตามข้อกฎหมาย ข้อเท็จจริง และพยานหลักฐาน ถึงแม้ตนจะไม่ได้อยู่กระบวนการของคณะกรรมการ ป.ป.ช.ชุดที่ชี้มูลความผิด แต่เมื่อเป็นเรื่องของ ป.ป.ช. ทุกอย่างต้องเป็นไปตามระบบ
“ในเมื่อกฎหมายเขียนไว้อย่างนั้นเราต้องทำให้ทัน ถ้าเราทำไม่ทัน มันเหมือนกับแพ้ตั้งแต่ยังไม่ได้ชก” พล.ต.อ.วัชรพล กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า มีการตั้งข้อสังเกตจากสังคมว่า ป.ป.ช. ไม่อยากยื่นอุทธรณ์คดีนี้ พล.ต.อ.วัชรพล กล่าวว่า เป็นเรื่องที่คาดคะเนกันไป แต่เราต้องทำตามหน้าที่ หลักเกณฑ์ที่จะพิจารณาว่า จะยื่นอุทธรณ์หรือไม่นั้นต้องไปดูประเด็นที่ป.ป.ช.ชุดก่อนมีมติชี้มูลความผิดก่อนส่งฟ้อง และอีกหลายเรื่องในคำพิพากษา ทั้งข้อกฎหมายและข้อเท็จจริง โดยคำพิพากษากลางและคำพิพากษาของตุลาการแต่ละคนจึงมีความสำคัญ นอกจากนี้ ยังต้องนำหลักฐานที่กลุ่มพันธมิตรฯ ยื่นเข้ามาพิจารณาด้วยเมื่อถามต่อว่า สังคมวิพากษ์วิจารณ์กันว่า ตัว พล.ต.อ.วัชรพล จะเกรงใจจำเลยบางคนในคดีนี้เป็นพิเศษ เพราะมี พล.ต.อ.พัชรวาท ซึ่งเป็นน้องชาย พล.อ.ประวิตร รวมอยู่ด้วย พล.ต.อ.วัชรพล กล่าวว่า “มันคงปฏิเสธไม่ได้ เป็นธรรมดา มันเป็นส่วนหนึ่งของหน้าที่การงาน มันอาจจะเป็นจุดอ่อนของชีวิต มันเลือกไม่ได้ แต่การกระทำของเราจะเป็นอย่างไรนั้นต่างหาก”
เมื่อถามว่า ประธาน ป.ป.ช. จะเข้าร่วมพิจารณาว่า จะอุทธรณ์หรือไม่ เพราะถูกครหาว่า มีส่วนได้ส่วนเสียในคดีด้วย พล.ต.อ.วัชรพล กล่าวว่า ต้องพิจารณาทั้งหมดว่า จะเป็นประโยชน์หรือไม่เป็นประโยชน์ องค์กรจะเป็นอย่างไร คิดอยู่ทุกวัน ต้องเอาประโยชน์ของประเทศชาติเป็นที่ตั้ง ตัวเองไม่เป็นไรเพราะพร้อม เนื่องจากเป็นภาระหน้าที่และความรับผิดชอบ แต่ตอนนี้ยังไม่ได้ตัดสินใจใดๆ
เมื่อถามว่า ติดใจหรือไม่ เพราะคำพิพากษาศาลฎีกาฯ ขัดแย้งกับคำพิพากษาศาลปกครองกลาง ประธานป.ป.ช. กล่าวว่า มันมองกันคนละมุม ในเรื่องของอาญามันต้องมีเจตนาพิเศษจริงๆ ที่จะก่อให้เกิดความเสียหายต่อชีวิตและร่างกายผู้อื่น ไม่เช่นนั้นจะต้องยกประโยชน์ หลักกฎหมายอาญาเป็นอย่างนั้น
อีกด้าน ที่ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ ทำเนียบรัฐบาล นายวัชระ เพชรทอง อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ยื่นหนังสือถึงพล.อ.ประยุทธ์ เพื่อให้พิจารณามติ คณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) เลื่อนยศ พล.ต.ต.ลือชัย สุดยอด รอง ผบช.ภ.3 เป็น พล.ต.ท. โดยเห็นว่าไม่มีความเหมาะสม เนื่องจาก พล.ต.ต.ลือชัย เป็นผู้ที่ร่วมปาระเบิดใส่กลุ่มพันธมิตรฯ ระหว่างการสลายการชุมนุมวันที่ 7 ต.ค.51 จึงขอให้นายกฯตรวจสอบการนำความกราบบังคมทูลฯให้ข้าราชการตำรวจ ดำรงตำแหน่งชั้นพลตำรวจโทใหม่ โดยได้มีการแนบภาพถ่ายที่เป็นหลักฐานขณะ พล.ต.ต.ลือชัย กำลังปาแก๊สน้ำตาใส่ผู้ชุมนุมให้นายกฯประกอบการพิจารณาด้วย.