ถ้าพิจารณากันตาม “เงื่อนไข” และ “เหตุปัจจัย” แล้ว...มันคงไม่ถึงกับน่าหวาดหวั่น พรั่นพรึง อะไรกันมากมาย สำหรับการที่ใครต่อใครจะเดินทางให้กำลังใจ อดีตนายกฯ คุณน้อง “ปู ยิ่งลักษณ์” ในช่วงวันตัดสินพิพากษาคดีจำนำข้าว ปลายเดือนสิงหาคมที่จะถึงนี้ คือมันไม่ใช่เรื่องที่สามารถหยิบไปปลุก ไปปั่น อะไรต่อมิอะไรให้แข็งโด่ แข็งเด่ ขึ้นมาได้ง่ายๆ แม้จะมีใครพยายามกระตุกแล้ว กระตุกอีก เพียงใดก็เถอะ...ด้วยเหตุเพราะมันเป็นเรื่องของกระบวนการทางกฎหมาย ที่ดำเนินมาด้วยความโปร่งใส บริสุทธิ์ ยุติธรรมมาตั้งแต่แรก...
ส่วนที่ “จอมจิก” อย่างคุณ “ไก่ วัฒนา” ท่านพยายามกระตุกแล้ว กระตุกอีก ใน “เฟซบุ๊ก” ของท่าน ชนิดแปลงสภาพให้กลายเป็น “การต่อสู้ระหว่างประชาธิปไตยกับเผด็จการ” ไปโน่นเลย หรือดังที่ระบุไว้ว่า “การต่อสู้ครั้งนี้จึงไม่ได้เดิมพันด้วยอิสรภาพของท่าน (น้องปู ยิ่งลักษณ์) เท่านั้น เพราะมันคือการต่อสู้ระหว่างฝ่ายประชาธิปไตยกับฝ่ายนิยมเผด็จการ คดีนี้ผู้พิพากษาจึงไม่ได้มีเพียง 9 คน เพราะยังมีประชาชนที่รักความเป็นธรรมอีกหลายสิบล้านที่ทำหน้าที่ผู้พิพากษาเช่นกัน และจะไม่ปล่อยให้ท่านต้องเป็นผู้รับกรรมจากการรัฐประหารเพียงลำพังแน่นอน...” อันนี้...ว่าไปแล้วก็เป็นอันเข้าใจได้ ด้วยเหตุเพราะฝ่ายประชาธิปไตยรายนี้ยังมี “คดีบ้าน” คาหลัง คาไหล่ อยู่ดุ้นเบ้อเริ่ม ถ้าหากสามารถปลุกให้ใครต่อใครดาหน้าออกมาเป็นผู้พิพากษาในคดีน้องปู จนอาจรอดปากเหยี่ยว ปากกา ได้มั่ง ย่อมถือเป็นอานิสงส์ของตัวเองต่อไปภายในตัว...
แต่โดยข้อเท็จจริง ความเป็นจริง มันคงไม่ถึงกับ “เว่อร์” อะไรมากมายถึงขั้นนั้น คือมันไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องประชาธิปไตย-เผด็จการเอาเลยแม้แต่นิด แต่เป็นเรื่องของการดำเนินการตามกระบวนการทางกฎหมายที่มีมาก่อนหน้าที่จะเกิดการรัฐประหารไปตามปกตินั่นเอง เพียงแต่ว่า...ถ้าหากยังไม่เกิดการรัฐประหารนั้น ก็อาจพอ “หยวนๆ” กันได้ หรือเกิดการหาช่อง หาโอกาส แฉลบออกข้าง เบี่ยงเบนวิถีทางกฎหมายได้ไม่ยาก แต่พอเมื่อเกิดการรัฐประหารขึ้นมาแล้ว บรรดาช่อง บรรดาโอกาสที่ว่านี้ มันก็ออกจะยากซ์ซ์ซ์ ที่จะไปเจรจาต่อรอง หรือ “เกี้ยเซี้ย” กันได้ง่ายๆ ทุกสิ่งทุกอย่าง...จึงต้องเดินไปตามตัวบทกฎหมาย ถูกหรือผิด...นั่นคงขึ้นอยู่กับศาล ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเผด็จการหรือประชาธิปไตย เอาเลยแม้แต่น้อย
อีกอย่าง...โดยสภาพบรรยากาศทางการเมืองหลังๆ นี้ ไม่ว่าจะปลุกอะไร มันออกจะ “ปลุกไม่ขึ้น” กันซักเท่าไหร่นัก เพราะตลอดช่วงก่อนหน้าการรัฐประหาร มันถูกปลุก ถูกปั่น ซอยยิกๆ กันชนิดวันละ 3 เวลาหลังอาหาร ไม่ว่าทั้งฝ่ายต้าน ฝ่ายสนับสนุน ชนิดเล่นเอาใครต่อใครแทบ “กามตามด้าน” กันไปทั้งบาง อีกทั้งบรรดาผู้ที่ถูกปลุก ต่างต้องแบกรับผลแห่งการ “ออกัสซั่ม” ในช่วงสั้นๆ ที่ถูกแปรสภาพให้กลายเป็น “คดีความ” ต่างๆ ชนิดยาวเฟื้อยเลื้อยลากดิน ต้องเดิน “ขึ้นศาล” กันจนรองเท้าสึกแล้วสึกอีก แถมหลายต่อหลายรายยังถูก “นักประชาธิปไตย” ด้วยกันเองทิ้งขว้าง ไม่คิดแลเหลียวมาดูดำ ดูดี เอาเลยแม้แต่น้อย ถูก “ผู้พิพากษาตัวจริง” ส่งเข้าคุก ติดคุกหัวโตไปเป็นรายๆ เสียอนาคต เสียโอกาสของครอบครัว ญาติมิตร เพื่อนฝูง ชนิดไม่น่าจะมีใครอยากจะเป็น “ผู้พิพากษาตัวปลอม” ต่อไปอีกแล้ว...
ด้วยเหตุนี้...คงต้องปล่อยให้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปตาม “กระบวนการทางกฎหมาย” นั่นแหละดีที่สุด เพราะอย่างน้อย...ย่อมถือเป็นตัวสะท้อน “ความเสมอภาค” ได้อย่างชัดเจนพอสมควร คือไม่เฉพาะคนจน ไพร่ หรือชนชั้นล่างเท่านั้น ที่ “ติดคุกได้” แต่ระดับอำมาตย์ ชนชั้นสูง อย่าง “อดีตนายกฯ” “อดีตรัฐมนตรี” ก็มีสิทธิ “คุก-คุก-คุก” ได้เช่นกัน ส่วนการที่ใครอยากจะแสดงออกถึงความรัก ความห่วงใย ความปรารถนาดีกับใครคนใดคนหนึ่ง...ก็ว่ากันได้ตามสบาย ถ้าการแสดงออกเหล่านั้นมันไม่ไปละเมิดกฎหมาย ขัดแย้งกับตัวบทกฎหมาย แต่ถ้าหากไปไกลถึงขั้นคิดตั้งตัวเองขึ้นเป็น “ผู้พิพากษา” โดยอาศัย “กฎหมู่” ล้วนๆ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับกฎหมายเอาเลยแม้แต่น้อย อาศัยเพียงแค่ “อารมณ์-ความรู้สึก” มาใช้เป็นตัว “ปรุงแต่ง” ว่าตัวเองคือ “ฝ่ายประชาธิปไตย” ผู้อื่นคือ “ฝ่ายเผด็จการ” อันนั้น...ย่อมหนีไม่พ้นต้อง “คุก-คุก-คุก” ไปตามสภาพ...
สรุปแล้ว...มันคงไม่ถึงกับน่าหวาดหวั่น ขวัญสยอง น่าขนลุกขนพอง อย่างที่พูดๆ คิดๆ กันไปเองซักเท่าไหร่หรอกทั่น เพราะไอ้ที่น่าหวั่นๆ ยิ่งไปกว่านั้น น่าจะเป็นไอ้ประเภทที่ดันไปสร้างราคาต่อรอง เดิมพันติดปลายนวม ระดับ 10-1, 5-2, 4-2, 3-1 ฯลฯ อะไรประมาณนั้น หรือพวกที่เล่นได้-เสีย ประมาณว่า “ติด-ไม่ติด” หรือ “หนี-ไม่หนี” ที่อาจหันมา “ชักดาบ” ระหว่างกันและกัน จนอาจต้องกลายมาเป็นคดีความ หรืออาจต้องติดตามทวงหนี้ ชนิดแทบไม่รู้ว่าใครอยู่ฝ่ายประชาธิปไตยหรือฝ่ายเผด็จการกันแน่ แต่สำหรับผู้ที่มองสิ่งเหล่านี้ด้วยสติปัญญา ไม่ได้คิดจะแค่ “เอามันซ์ซ์ซ์” กันลูกเดียว เรื่องราวเหล่านี้ย่อมสามารถนำไปใช้เป็นบทเรียน เป็นอุทาหรณ์ สอนใจ ได้อย่างประณีตลึกซึ้งซะยิ่งกว่าเรื่องของความเป็นประชาธิปไตยเป็นเผด็จการไม่รู้กี่สิบกี่ร้อยเท่า หรือเป็นเรื่องที่สะท้อนให้เห็นถึงสิ่งที่เรียกว่า “กฎแห่งกรรม” ได้อย่างลุ่มลึกและชัดเจนที่สุด...