xs
xsm
sm
md
lg

ความเห็นต่อคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ ในคดีออกอากาศ ASTV

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


“หนึ่งความคิด”
“สุรวิชช์ วีรวรรณ”

เมื่อวันอังคารที่18กรกฎาคม ศาลอุทธรณ์ได้มีคำพิพากษากลับคำพิพากษาของศาลชั้นต้นที่มีคำพิพากษายกฟ้อง โดยศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตาม พ.ร.บ.วิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ พ.ศ.2498 มาตรา 3,5,17 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 จำคุกจำเลยที่ 2 และ 3 คนละ 2 ปี และปรับจำเลยที่ 1 เป็นเงิน 90,000 บาท ทางนำสืบของจำเลยทั้งสาม เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง กรณีมีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้คนละ 1 ใน 3 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยที่ 2 และ 3 คนละ 1 ปี 4 เดือน และปรับจำเลยที่ 1 เป็นเงิน 60,000 บาท กับให้ปรับจำเลยทั้งสามเป็นรายวันๆ ละ 2,000 บาท นับตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค. 2548 - 23 ม.ค. 2549

แม้น้อมรับในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่อยู่ในอำนาจขององค์คณะทั้งสามท่าน แต่เมื่อได้อ่านคำพิพากษาโดยละเอียดแล้ว ผมมีมุมมองที่แตกต่างออกไป รวมทั้งผมเองได้รับรู้การดำเนินการในกรณีนี้มาตั้งแต่ต้น จึงอยากฝากข้อสังเกตของผมเอาไว้ให้เป็นกรณีศึกษาซึ่งหากมีผลต่อระบบยุติธรรมของไทยอยู่บ้างก็จะเป็นเรื่องที่น่ายินดียิ่ง

ผมเคยเป็นนักศึกษานิติศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แม้จะเรียนไม่จบการศึกษาแต่ได้นั่งฟังคำบรรยายหลักวิชากฎหมายทั่วไปจากผู้ช่วยศาสตราจารย์กิตติศักดิ์ ปรกติ และกฎหมายอาญา จากศาสตราจารย์ณรงค์ ใจหาญ จนเกือบจบเทอมทำให้ผมพอเข้าใจกฎหมายอยู่บ้าง แม้จะไม่มากนัก ผมจะลองใช้ความรู้และความเข้าใจที่พอมีอยู่เสนอมุมมองจากข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ออกมา

โดยหลักแล้วการพิพากษาของศาลนั้นมักจะไม่มีคนกล้ามีความเห็นต่างๆ เพราะเกรงว่าจะเป็นการหมิ่นศาล ผมเคยถามอาจารย์กิตติศักดิ์ในเรื่องนี้อาจารย์อธิบายว่า กฎหมายห้ามหมิ่นศาลกับผู้พิพากษา ไม่ห้ามวิจารณ์คำพิพากษา

ไปดู พ.ร.บ.วิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ พ.ศ.2498 มาตรา 3และ5ที่ศาลอ้างว่าจำเลยกระทำผิด

มาตรา 3 ในพระราชบัญญัตินี้
คลื่นแฮรตเซียน หมายความว่า คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีความถี่ระหว่างสิบกิโลเฮิตซ์ถึงสามล้านเมกกาเฮิตซ์ และให้หมายความรวมถึงกระแสไฟฟ้าที่มีความถี่ระหว่างสิบกิโลเฮิตซ์ถึงสามล้าน เมกกาเฮิตซ์ด้วย(แก้ไขปี2530)

วิทยุกระจายเสียง หมายความว่า การส่งหรือการรับเสียงด้วยคลื่นแฮรตเซียน ไม่ว่าโดยวิธีการแพร่กระจายไปในบรรยากาศหรือโดยวิธีการใช้สายหรือสื่อตัวนำไ ฟฟ้า หรือทั้งสองวิธีการรวมกัน(แก้ไขปี2530)

วิทยุโทรทัศน์ หมายความว่า การส่งหรือการรับภาพนิ่งหรือภาพเคลื่อนไหวในลักษณะไม่ถาวรด้วยคลื่นแฮรตเซีย น ไม่ว่าโดยวิธีการแพร่ กระจายไปในบรรยากาศ หรือโดยวิธีการใช้สายหรือสื่อตัวนำไฟฟ้า หรือทั้งสองวิธีการรวมกัน

เครื่องรับวิทยุกระจายเสียง หมายความว่า เครื่องสำหรับใช้รับวิทยุกระจายเสียง

เครื่องรับวิทยุโทรทัศน์ หมายความว่า เครื่องสำหรับใช้รับวิทยุโทรทัศน์ ไม่ว่าจะมีเสียงด้วยหรือไม่ก็ตาม

มาตรา 5(แก้ไขปี2530) ห้ามมิให้ผู้ใดส่งวิทยุกระจายเสียงหรือส่งวิทยุโทรทัศน์เพื่อให้บริการแก่สาธารณะหรือแก่ชุมชน เว้นแต่จะได้รับใบอนุญาต ให้ดำเนินบริการส่งวิทยุกระจายเสียงหรือบริการส่งวิทยุโทรทัศน์จากเจ้าพนักงานผู้ออกใบอนุญาตการส่งวิทยุกระจายเสียงหรือการส่งวิทยุโทรทัศน์ ที่กระทำโดยการทำให้คลื่นแฮรตเซียนแพร่กระจายไปในบรรยากาศ ถ้าได้ทำการส่งโดยมีรายการแน่นอนสม่ำเสมอหรือเป็นประจำ และบุคคลอื่นสามารถรับการส่งวิทยุนั้นได้โดยใช้เครื่องรับวิทยุกระจายเสียงห รือเครื่องรับวิทยุโทรทัศน์ที่ผู้ส่งจัดหาให้หรือที่มีจำหน่ายโดยทั่วไป ให้ถือว่าการส่งวิทยุนั้นเป็นการส่งวิทยุกระจายเสียงหรือการส่งวิทยุโทรทัศน์ เพื่อให้บริการแก่สาธารณะหรือแก่ชุมชนตามความในวรรคหนึ่ง

การส่งวิทยุกระจายเสียงหรือการส่งวิทยุโทรทัศน์ ที่กระทำโดยการทำให้คลื่นแฮรตเซียนผ่านไปทางสายหรือสื่อตัวนำไฟฟ้า ถ้าได้ทำการส่งโดยมีรายการแน่นอนสม่ำเสมอหรือเป็นประจำ และบุคคลอื่นสามารถรับการส่งวิทยุนั้นได้โดยใช้เครื่องรับวิทยุกระจายเสียงหรือเครื่องรับวิทยุโทรทัศน์ที่ผู้ส่งจัดหาให้หรือที่มีจำหน่ายโดยทั่วไป ไม่ว่าเครื่องรับนั้นจะมีความจำเป็นต้องดัดแปลงหรือติดตั้งอุปกรณ์เพิ่มเติม หรือไม่ก็ตาม และถ้าการส่งวิทยุนั้นได้กระทำตามลักษณะหรือขอบเขตตามที่กำหนดในกฎกระทรวง ให้ถือว่าการส่งวิทยุนั้นเป็นการส่งวิทยุกระจายเสียงหรือการส่งวิทยุโทรทัศน เพื่อให้บริการแก่สาธารณะหรือแก่ชุมชนตามความในวรรคหนึ่งกฎกระทรวงที่ออกตา มความในวรรคสาม ให้ใช้บังคับในวันที่ระบุในกฎกระทรวง แต่จะใช้บังคับก่อนเก้าสิบวันนับแต่วันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษาไม่ได้ กฎกระทรวงที่ออกมาเปลี่ยนแปลงลักษณะและขอบเขตของการส่งวิทยุตามที่ได้มีกฎกระทรวงกำหนดไว้แล้ว ย่อมไม่กระทบกระเทือนถึงสิทธิของผู้รับใบอนุญาต อยู่แล้วก่อนวันที่กฎกระทรวงดังกล่าวใช้บังคับ และให้ผู้รับใบอนุญาตดังกล่าวดำเนินการต่อไปได้จนกว่าอายุใบอนุญาตนั้นจะสิ้นสุดลง

ส่วนมาตรา17(แก้ไขปี2530)เป็นบทบัญญัติโทษว่า ถ้าทำผิดตามมาตรา5 มีโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และปรับเป็นรายวันอีกวันละสองพันบาทจนกว่าจะดำเนินการให้ถูกต้อง

แน่นอน พระราชบัญญัติตามกฎหมายนี้บังคับใช้ได้ในราชอาณาจักรไทยเท่านั้น ส่วนบทบัญญัติโทษจะแค่ปรับหรือจำคุกด้วยก็ได้

กรณีนี้โจทก์กล่าวหาว่าจำเลยทั้งสามร่วมกันบันทึกรายการภาพและเสียงผ่านสายเคเบิลใยแก้วที่เช่าจาก กสท.เพื่อส่งต่อไปยังฮ่องกง จากนั้นส่งภาพและเสียงต่อไปยังดาวเทียมNSS6แล้วส่งภาพกลับมายังประเทศไทยทางสถานีโทรทัศน์ช่องASTV NEWS1โดยมีผังรายการที่แน่นอนตลอด24ชั่วโมงซึ่งบุคคลทั่วไปสามารถรับชมได้ อันเป็นการส่งวิทยุกระจายเสียงหรือวิทยุโทรทัศน์เพื่อให้บริการแก่สาธารณะหรือชุมชน โดยจำเลยทั้งสามไม่ได้รับใบอนุญาตจากเจ้าพนักงานผู้ออกใบอนุญาต อันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย

ผมเว้นวรรคอธิบายตรงนี้ว่า บริษัทไทยเดย์ ในฐานะจำเลยที่ 1 นั้นผลิตรายการในประเทศไทย แล้วส่งสัญญาณภาพและเสียงผ่านสัญญาณอินเตอร์เน็ตไปยังฮ่องกง ถามว่าสิ่งที่บริษัทไทยเดย์ทำนี้มีความผิดไหม ผมมั่นใจว่าไม่เข้าองค์ประกอบความผิดใดเลย การผลิตรายการในฐานะสื่อเป็นเสรีภาพที่รัฐธรรมนูญรับรอง อินเตอร์เน็ตเป็นเพียงพาหนะในการเดินทาง ถ้าเรายังไม่มีสัญญาณอินเตอร์เน็ตเราอาจส่งภาพและเสียงบันทึกลงเทปให้นกพิราปนำสาร เดินเท้า ขึ้นเรือ หรือเครื่องบินไปยังเกาะฮ่องกงก็ได้

เอาล่ะศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนแล้วประชุมปรึกษากันว่า ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นรับฟังได้ว่า จำเลยทั้งสามผลิตรายการโทรทัศน์ที่สตูดิโอประเทศไทยผ่านทางระบบอินเตอร์เน็ตจากนั้นส่งผ่านบริษัทภายใต้สัมปทานของกสท.ผ่านเคเบิลใต้น้ำส่งไปยังฮ่องกง ทางสถานีฮ่องกงคือบริษัทเอเชียทามส์ทำการอัพลิงค์สัญญาณขึ้นดาวเทียม แล้วดาวเทียมก็จะส่งสัญญาณกระจายเสียงในภูมิภาคเอเชียตามขอบข่ายการส่งสัญญาณของดาวเทียมดังกล่าว โดยมีการแพร่ภาพมาที่ประเทศไทยด้วยคลื่นแฮรตเซียน ตามนิยามในมาตรา3
 
จากตรงนี้ก็ชัดเจนว่า การส่งสัญญาณดาวเทียมเพื่อส่งคลื่นแฮรตเซียนลงมายังภาคพื้นดินนั้นทำขึ้นที่ฮ่องกงไม่ใช่ประเทศไทย และจากข้อเท็จจริงก็ชี้จัดว่า สัญญาณดังกล่าวครอบคลุมภูมิภาคเอเชียไม่ใช่เฉพาะประเทศไทย นั่นแสดงว่า ใครที่อยู่ในภูมิภาคนี้ถ้ามีจานดาวเทียมก็สามารถรับสัญญาณได้หมด

เมื่อศาลพิจารณาว่าจำเลยทั้งสามกระทำผิดตามฟ้องหรือไม่ ข้อความในคำพิพากษาระบุว่า “พยานโจทก์นำมาเบิกความในชั้นศาลรวม4ปาก ไม่มีพยานคนใดเบิกความให้เห็นว่า การประกอบกิจการกระจายเสียงหรือกิจการโทรทัศน์โดยการส่งภาพและคลื่นแฮรตเซียนของจำเลยทั้งสามในขั้นตอนใดที่ถือได้ว่า จำเลยกระทำความผิด ตามพ.ร.บ.วิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ พ.ศ.2498 และพรบ.ประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ พ.ศ.2551”

สรุปตรงนี้ก็คือ พยานโจทก์4ปากที่ไปให้การในศาลไม่สามารถชี้ได้เลยว่าจำเลยทั้งสามกระทำผิดตามกฎหมาย

แต่ศาลมีความเห็นต่อไปว่า “แต่โจทก์มีคำให้การในชั้นสอบสวนของนายอานนท์ ลอยกุลนันท์ พยานโจทย์ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของกรมประชาสัมพันธ์” ตรงนี้หมายเหตุไว้นะครับว่าเป็นคำให้การ “ในชั้นสอบสวน” โดยรวมนายอานันท์ก็ให้การนั่นแหละว่า จำเลยส่งภาพและเสียงผ่านเคเบิลใยแก้วไปยังฮ่องกงจากนั้นส่งสัญญาณภาพมายังประเทศไทยผ่านดาวเทียมNSS6โดยคลื่นระบบแฮรตเซียน

จะเห็นว่า คำให้การในชั้นสอบสวนของนายอานนท์นั้น เป็นเรื่องที่จำเลยกระทำโดยเปิดเผยอยู่แล้วคือผลิตรายการในประเทศไทย แล้วส่งสัญญาณผ่านอินเตอร์เน็ตไปยังฮ่องกง เพื่อให้บริษัทเอเชียทามส์อัพลิงค์ขึ้นดาวเทียม

ศาลระบุว่า แม้คำให้การของนายอานันท์ เป็น “พยานบอกเล่า” ซึ่ง “ศาลห้ามมิให้รับฟัง” แต่ “มิได้ห้ามโดยเด็ดขาด” เหตุที่โจทก์ไม่สามารถนำนายอานนท์มาเบิกความได้เพราะป่วยเป็นมะเร็งต้องให้ออกซิเจนอยู่ที่บ้าน จึงเป็นข้อยกเว้นตามกฎหมายป.วิอาญามาตรา 223/32) มีเหตุจำเป็น เนื่องจากไม่สามารถนำบุคคลซึ่งเป็นผู้ที่ได้เห็น ได้ยิน หรือทราบข้อความเกี่ยวในเรื่องที่จะให้การเป็นพยานนั้นด้วยตนเองโดยตรงมาเป็นพยานได้ และมีเหตุผลสมควรเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมที่จะรับฟังพยานบอกเล่านั้น

แน่นอนครับมีคำพิพากษาศาลฎีกาในเรื่องนี้ไว้ว่า ถึงแม้คำให้การของพยานในชั้นสอบสวนจะเป็นพยานบอกเล่า แต่ศาลมีดุลพินิจจะรับฟังประกอบพยานหลักฐานอื่น (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 992/2537) คำให้การของพยานในชั้นสอบสวนมีน้ำหนักน้อย (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2609/2532) คำให้การของพยานในชั้นสอบสวนแม้เป็นพยานบอกเล่าแต่พนักงานสอบสวนบันทึกไว้โดยถูกต้องทั้งให้การต่อพนักงานสอบสวนหลังเกิดเหตุเพียง 5 วัน มีน้ำหนักรับฟังได้ (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 590/2539

แต่จะเห็นว่า แม้ศาลจะใช้ดุลพินิจรับฟังพยานบอกเล่าได้ แต่ต้องใช้อย่างระมัดระวังอย่างสูงทั้งนี้เพราะพยานบอกเล่ามีปัญหาเรื่องน้ำหนักตาม ป.วิ.อ. มาตรา 227/1

มาตรา 227/1 ในการวินิจฉัยชั่งน้ำหนักพยานบอกเล่า พยานซัดทอด พยานที่จำเลยไม่มีโอกาสถามค้าน หรือพยานหลักฐานที่มีข้อบกพร่องประการอื่นอันอาจกระทบถึงความน่าเชื่อถือของพยานหลักฐานนั้น ศาลจะต้องกระทำด้วยความระมัดระวัง และไม่ควรเชื่อพยานหลักฐานนั้นโดยลำพังเพื่อลงโทษจำเลย เว้นแต่จะมีเหตุผลอันหนักแน่น มีพฤติการณ์พิเศษแห่งคดี หรือมีพยานหลักฐานประกอบอื่นมาสนับสนุน

แต่ศาลกลับเชื่อ “พยานบอกเล่า” ปากนี้มากกว่า พยานโจทก์4ปากที่นำมาสืบในศาลแล้วไม่สามารถชี้ว่าจำเลยกระทำผิดได้ โดยระบุว่า นายอานนท์ได้รับมอบหมายจากกรมประชาสัมพันธ์ให้ตรวจสอบเรื่องนี้ จึงเป็นผู้ที่รู้เห็นโดยตรง

เมื่อเราอ่านคำพิพากษาศาลชั้นต้นจะเห็นว่า ศาลใช้หลัก “ห้ามฟังพยานบอกเล่า” ในการพิพากษายกฟ้องจำเลย

แต่ศาลอุทธรณ์ใช้หลัก “ข้อยกเว้นห้ามฟังพยานบอกเล่า” ในการพิพากษาลงโทษจำเลย

ในคำพิพากษายังอ้างด้วยว่า “เมื่อการผลิตรายการของจำเลยที่1มีรายการหลักเป็นการถ่ายทอดรายการโทรทัศน์ที่มีลักษณะเป็นการแสดงความคิดเห็นและเคลื่อนไหวในทางการเมืองในลักษณะตรงข้ามและเพื่อโจมตีรัฐบาลในขณะเกิดเหตุโดยมีนายสนธิ ลิ้มทองกุล เกี่ยวข้องเป็นบิดาของจำเลยที่ 2จึงไม่น่าเชื่อว่าเป็นการผลิตรายการตามความประสงค์ของบริษัทเอเชียทามส์ออนไลน์เพื่อส่งสัญญาณไปยังประเทศอื่นๆในทวีปเอเชีย แต่เป็นการส่งสัญญาณมายังประเทศไทยโดยตรง”

โดยส่วนตัวผมคิดว่า ศาลที่บอกว่า"ไม่น่าเชื่อถือ"ตามที่อ้างวรรคบนนั้นก็ไม่ผิดนะครับเพราะเป็น“ดุลนินิจ” แต่โดยปกติทั่วไปนั้น เราน่าจะต้องตรวจสอบว่า “ความคิด” ของเราถูกหรือไม่ด้วย “ข้อเท็จจริง” เพราะเมื่อเราตรวจสอบและเข้าใจ “ข้อเท็จจริง” ได้ทันทีว่า คลื่นสัญญาณผ่านดาวเทียมที่ส่งขึ้นไปนั้นมันครอบคลุมภูมิภาคเอเชียตามที่กล่าวไว้เบื้องต้นนั้นแหละ คนที่อยู่ในลาว พม่า เวียดนามก็สามารถรับสัญญาณได้

โดยหลักการในคดีอาญาจำเลยได้รับการสันนิษฐานว่าเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าจะพิสูจน์ว่าจำเลย "กระทำผิดตามข้อกล่าวหาจนสิ้นสงสัย"หากโจทก์ไม่มีหลักฐานที่จะพิสูจน์ความผิดของจำเลยต่อข้อกล่าวหาแล้ว จำเลยจะต้องได้รับการปล่อยให้ให้พ้นข้อกล่าวหาในที่สุด แม้จะเลยมีหน้าที่ต้องแสดงหลักฐานเพื่อยืนยันข้อต่อสู้ของตนที่ตนให้การไว้ในการต่อสู้คดีดีก็ตาม

แม้ระดับการพิสูจน์จนสิ้นสงสัยตามข้อสงสัยของโจทก์เป็นเพียงดุลพินิจของศาล แต่การกำหนดความพอใจของศาลไม่มีมาตรฐานที่แน่นอนในการวัด แต่ขึ้นอยู่กับการวิเคราะห์ของศาลโดยอาศัยความรู้ความเข้าใจ รวมทั้งประสบการณ์ของศาลประกอบเข้าด้วยกัน แต่ความสงสัยนี้ต้องไม่ใช่เป็นเพียง “ความน่าเป็นไปได้ของข้อสงสัย” นี่เป็นความเห็นตามหลักการทั่วไปนะครับไม่ได้ก้าวล่วงคำพิพากษานี้

ส่วนกรณีที่ทราบอยู่แล้วว่านายสนธิวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลในขณะนั้น พยานบอกเล่าซึ่งเป็นข้าราชการของกรมประชาสัมพันธ์นั้นก็อยู่ใต้การบังคับบัญชาสามารถให้คุณให้โทษได้โดยรัฐบาลในขณะนั้น อย่างไรก็ตามการแสดงความคิดเห็นของนายสนธินั้นยังได้รับความคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ 2540 มาตรา39-41 มาตรา 39 วรรค1ระบุว่า บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นการพูด การเขียน การพิมพ์ การโฆษณา และการสื่อความหมายโดยวิธีอื่น

มาตรา 41 วรรค1 ระบุพนักงานหรือลูกจ้างของเอกชนที่ประกอบกิจการหนังสือพิมพ์ วิทยุกระจายเสียง หรือวิทยุโทรทัศน์ ย่อมมีเสรีภาพในการเสนอข่าว และแสดงความคิดเห็นภายใต้ข้อจำกัดตามรัฐธรรมนูญ โดยไม่ตกอยู่ภายใต้อาณัติของหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือเจ้าของกิจการนั้น แต่ต้องไม่ขัดต่อจรรยาบรรณแห่งการประกอบวิชาชีพ

นั่นแสดงว่า นายจ้างหรือเจ้าของกิจการไม่สามารถจะมาบังคับให้พนักงานแสดงความคิดเห็นได้ นั่นคือ สื่อมวลชนไม่จำเป็นต้องแสดงความคิดเห็นภายใต้การกำหนดของนายจ้างนั่นเอง การที่ระบุว่า ไม่น่าเชื่อว่าเป็นการผลิตรายการตามความประสงค์ของบริษัทเอเชียทามส์ออนไลน์จึงเป็นการย้อนแย้งต่อกฎหมายรัฐธรรมนูญอย่างยิ่ง

แล้วการที่นายสนธิจะมีความเห็นอย่างไรก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับจำเลยที่ 2แม้นายสนธิจะเป็นบิดาก็ตาม นอกจากนั้นไม่เห็นเลยว่าการวิจารณ์รัฐบาลของนายสนธิจะเป็นความผิดยกเว้นจะมีข้อความที่เข้าข่ายหมิ่นประมาทผู้ที่นายสนธิกล่าวหาพาดพิงซึ่งก็เป็นความผิดเฉพาะตัวของนายสนธิเอง

นอกจากนั้นศาลยังระบุด้วยว่ามีข้อตกลงกันว่าจำเลยที่1คือบริษัทไทยเดย์จะจ่ายเงินให้บริษัทเอเชียทามส์ ร้อยละ50ของรายได้สุทธิทั้งหมดที่ได้จากการโฆษณา แล้วระบุว่าบริษัทดังกล่าวซึ่งหมายถึงเอเชียทามส์จึงมีลักษณะเป็นตัวแทนของจำเลยที่1เท่านั้น ประกอบกับจำเลยที่ 1นำสืบเพียงสัญญาเอกสารโดยมิได้นำสืบถึงความมีอยู่จริงของบริษัทดังกล่าว

หากฟังตรงนี้แล้วจะมีตรรกะที่ขัดแย้งกันอยู่ในตัว ตกลงศาลเชื่อว่าบริษัทเอเชียทามส์มีอยู่จริงโดยได้รับส่วนแบ่งร้อยละ50หรือไม่มีอยู่จริงกันแน่

โดยข้อเท็จจริงจากคำบรรยายพิพากษาคดีศาลท่านทราบนะครับว่า บริษัทไทยเดย์ผลิตรายการในประเทศไทยแล้วส่งสัญญาณอินเตอร์เน็ตไปที่ฮ่องกงโดยมีการอัพลิงค์สัญญาขึ้นดาวเทียมที่นั่นเพื่อส่งสัญญาณเป็นภาพและเสียงเป็นคลื่นแฮรตเซียนกลับมาที่ประเทศไทย ดังนั้นศาลจึงตัดสินว่า เป็นการกระจายเสียงวิทยุโทรทัศน์โดยไม่ได้รับอนุญาต โดยตอนหนึ่งศาลระบุว่าด้วยว่า “หากไม่มีการให้บริการระบบอินเทอร์เน็ตตามสัญญาดังกล่าวแล้วการส่งสัญญาณภาพและเสียงอันถือเป็นการส่งวิทยุโทรทัศน์ผิดกฎหมายของจำเลยที่1ย่อมไม่สามารถเกิดขึ้นได้”

แม้เราต้องน้อมรับคำพิพากษาที่ศาลอุทธรณ์ตัดสินกลับว่า มีความผิด แต่ก็ชัดเจนว่า สิ่งที่บริษัทไทยเดย์ทำก็คือ การส่งสัญญาณอินเตอร์เน็ตไปยังฮ่องกงซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่รับฟังได้ การส่งสัญญาณอินเตอร์เน็ตไม่ได้อยู่ในฐานความผิดอะไร และชัดเจนว่ามีการอัพลิงค์ขึ้นดาวเทียมที่ประเทศฮ่องกงโดยบริษัทเอเชียทามส์ไม่ว่าศาลจะเชื่อว่ามีตัวตนจริงหรือไม่ก็อยู่บนอธิปไตยภายใต้กฎหมายฮ่องกง ทั้งสองบริษัทต่างเป็นนิติบุคคลที่แยกกันชัดเจนตามกฎหมาย ซึ่งต้องพิสูจน์ให้สิ้นสงสัยและรับฟังให้ได้เสียก่อนว่าการกระทำของนิติบุคคลหนึ่งส่งผลต่ออีกนิติบุคคลอย่างไร

การส่งสัญญาณขึ้นดาวเทียมNSS6นั้น ทราบกันว่ามีวงโคจรครอบคลุมภูมิภาคเอเชีย ไม่ใช่เฉพาะในประเทศไทย ทุกประเทศในภูมิภาคที่มีจานดาวเทียมก็สามารถรับสัญญาณได้ ถามว่า ถ้ามีบริษัทมาผลิตรายการในประเทศไทยในขณะนั้นเป็นภาษาอังกฤษ แล้วส่งสัญญาณอินเตอร์เน็ตไปขึ้นดาวเทียมที่ฮ่องกงแล้วดาวเทียมนั้นครอบคลุมภูมิภาคเอเชียจะมีความผิดตามกฎหมายประเทศไทยไหม

อย่างไรก็ตามความเห็นนี้เป็นการพิจารณาจากข้อเท็จจริงในการสืบพยานที่ปรากฎในคำพิพากษาที่ผมน้อมรับ มิได้มีเจตนาจะหักล้างคำพิพากษา เพียงแต่มีข้อสังเกตบางประการจากเนื้อหาในคำพิพากษาเท่านั้น
 

ติดตามผู้เขียนที่ https://www.facebook.com/surawich.verawan


กำลังโหลดความคิดเห็น