ผู้จัดการรายวัน360-"ออมสิน ชีวะพฤกษ์" สั่งแก้ไขระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี คุมเข้มหน่วยงานรัฐจะขอเรี่ยไรเงินบริจาค ต้องขออนุญาตก่อน รวมถึงวัดและโรงเรียน ส่วนกรณีเงินทอนวัด เรื่องถึง ป.ป.ช.แล้ว ด้านภาคีเครือข่ายต้านคอร์รัปชันยื่น "บิ๊กตู่"ยกเลิกเงื่อนไขพิเศษรับนักเรียน จี้ตรวจสอบการรับนักเรียนปี 60 หากพบมีการฝากเข้า ขอให้ฟันวินัย อาญาและแพ่ง ทั้งคนฝากและผอ.โรงเรียน ขณะที่รมว.ศธ.ย้ำไม่มีเรื่องเด็กฝาก ส่วนการกำหนดให้ ผอ.โรงเรียนยื่นบัญชีทรัพย์สิน โยนถามป.ป.ช.
นายออมสิน ชีวะพฤกษ์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยก่อนเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการควบคุมการเรี่ยไรของหน่วยงานของรัฐ (กคร.) ครั้งที่ 10/2560 วานนี้ (26 มิ.ย.) ว่า จะมีการแก้ไขระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีให้เป็นปัจจุบันมากขึ้น และมีความครอบคลุมทั้งหมด ซึ่งเดิมการขอเรี่ยไรเงินทุกชนิดที่ไปขอให้คนอื่นบริจาคหรือจ่ายเงินให้กับเรา เพื่อวัตถุประสงค์ใด จำเป็นต้องขออนุญาตจากสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สปน.) ก่อน เพราะมีระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีอยู่ แต่บางคนอาจไม่ทราบหรือมองข้ามไป แม้กระทั่งกิจกรรมของวัดก็ใช้ได้
"จะมีการพิจารณาเกี่ยวกับเงินเรี่ยไรทั้งระบบ เพื่อให้ครอบคลุม โดยหากจะจัดกิจกรรมหรือออกหนังสือเพื่อเรี่ยไรเงิน จะต้องขออนุญาตจาก สปน. หรือหน่วยงานที่ขึ้นตรงก่อน ซึ่งเดิมมีระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการเรี่ยไรของหน่วยงานรัฐ พ.ศ.2544 บังคับใช้อยู่แล้ว แต่ที่ผ่านมา อาจถูกมองข้ามไป"
เมื่อถามว่า ในส่วนนี้ครอบคลุมถึงการขอเรี่ยไรเงินจากโรงเรียนเพื่อสร้างสิ่งต่างๆ และรวมถึงเงินแปะเจี๊ยะด้วยหรือไม่ นายออมสิน กล่าวว่า ตรงนี้รวมถึงการเรี่ยไรเงินทำสิ่งต่างๆ แต่เรื่องเงินแปะเจี๊ยะ เป็นเงินกินเปล่าจึงคนละส่วนกัน
เมื่อถามย้ำว่า รวมถึงเรื่องเงินที่ให้บริจาคผ่านสมาคมผู้ปกครองด้วยหรือไม่ นายออมสิน ตอบว่า ในลักษณะนี้เข้าหลักเกณฑ์ที่จะต้องขออนุญาตว่าจะขอเงินเรี่ยไรไปทำกิจกรรมอะไร มีวัตถุประสงค์เพื่ออะไร และหากไปเรี่ยไรโดยไม่ขออนุญาตตามระเบียบ ก็มีความผิด
เมื่อถามถึงความคืบหน้ากรณีเงินทอนวัด นายออมสิน กล่าวว่า กองป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการทุจริตและประพฤติมิชอบ (ปปป.) น่าจะส่งเรื่องไปที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) แล้ว และตนกำลังขอให้เขาสรุปรายละเอียดทั้งหมดมาให้ดู
ที่ศูนย์บริการประชาชน สำนักปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (ฝั่งก.พ.) นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ เลขาธิการคณะกรรมการภาคีเครือข่ายต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชันของชาติ (ภตช.) ยื่นหนังสือถึงพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เพื่อขอให้ยกเลิกการรับนักเรียนที่มีเงื่อนไขพิเศษ 7 ข้อ ในปีการศึกษา 2561
นายมงคลกิตติ์ กล่าวว่า ภตช.ได้รับร้องเรียนจากผู้ปกครองและข้าราชการว่า ปีการศึกษา 2560 มีการเปิดช่องให้มีการทุจริตคอร์รัปชันการรับนักเรียนด้วยเงื่อนไขพิเศษ หรือการรับบริจาค โดยมีวัตถุประสงค์แลกที่นั่งเข้าเรียน ทำให้มีการเลือกปฏิบัติ โดยอาจจะใช้ตำแหน่งทางราชการบีบให้ ผอ.โรงเรียนรับนักเรียนของบุคคลนั้นๆ เข้าเรียน หรือบีบเอาเงินบริจาคเข้าสถานศึกษา หรือเข้าส่วนตัวเป็นจำนวนมาก ปัญหาดังกล่าวจะทำลายความมั่นคงของเยาวชน ซึ่งระยะยาวจะทำลายความมั่นคงของชาติอย่างไม่มีทางแก้ไขได้
"ขอให้นายกฯ ยกเลิกการรับนักเรียนที่มีเงื่อนไขพิเศษ 6 ใน 7 ข้อ ในปีการศึกษา 2561 โดยยกเว้นนักเรียนที่ได้คะแนนสอบเท่ากันในลำดับสุดท้าย พร้อมให้นำยอดการรับนักเรียนเงื่อนไขพิเศษไปเพิ่มในส่วนของการสอบทั่วไป เพื่อความเท่าเทียบกันของทุกชนชั้น ขณะเดียวกันขอให้ตรวจสอบ เปิดเผยรายชื่อการรับนักเรียนที่มีเงื่อนไขพิเศษ ปีการศึกษา 2560 ของโรงเรียนที่มีอัตราแข่งขันสูง ระดับก่อนประถมศึกษา ประถมศึกษา และระดับมัธยมศึกษา จำนวน 357 โรงเรียน และเมื่อตรวจสอบแล้ว หากพบว่ามีเจ้าหน้าที่ของรัฐประสานมา ให้มีการดำเนินการทางวินัย อาญา แพ่ง ทั้งผู้ประสานงาน และ ผอ.โรงเรียน รวมถึงให้มีการตรวจสอบและเปิดเผยรายชื่อผู้บริจาค จำนวนเงินบริจาคพร้อมใบเสร็จของโรงเรียนที่มีอัตราแข่งขันสูง ตั้งแต่วันที่ 5 ม.ค.2560 ถึงปัจจุบัน ที่มียอดเงินบริจาคตั้งแต่ 5,000-2,000,000บาท ส่วนการพิจารณาดำเนินการกับนักเรียนที่เกี่ยวข้องกับการบริจาคเพื่อแลกเปลี่ยนผลประโยชน์อย่างไรนั้น ขอให้เป็นดุลพินิจของนายกฯ"นายมงคลกิตติ์กล่าว
นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รมว.กระทรวงศึกษาธิการ กล่าวว่า ได้กำหนดนโยบายในการรับเด็กเข้าเรียนไว้อย่างชัดเจนแล้ว และยืนยันว่าตนเองไม่มีเรื่องการฝากเด็กเข้าเรียน ส่วนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่โรงเรียนสามเสนวิทยาลัย ได้สั่งการให้ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ไปตรวจสอบแล้ว จะไม่ปล่อยให้คนทุจริตมาทำลายระบบ ขณะที่ข้อเสนอให้ผู้อำนวยการโรงเรียนต้องยื่นแสดงบัญชีทรัพย์สินนั้น เป็นเรื่องการกำหนดหลักเกณฑ์ใหญ่ ต้องไปถามคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ว่าจะดำเนินการได้หรือไม่