ผู้จัดการรายวัน 360 - นายกฯงดจ้อ ขอเขียนตอบคำถามสื่อ ยันกองทัพใช้งบ 2.3 พันล้านซื้อรถยานเกราะจีนคุ้มค่า เมินเฟซ “ยิ่งลักษณ์” ยอดไลค์ 6 ล้าน ชี้อยู่ที่การกระทำ กสทช.นักชด 3 ค่ายมือถือลงพื้นที่ตรวจซิมรับจ้างกดไลค์ 17 มิ.ย.นี้
วานนี้ (15 มิ.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานจากทำเนียบรัฐบาลว่า ภายหลังเป็นประธานการประชุมเขตเศรษฐกิจพิเศษ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ปฏิเสธที่จะแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน โดยพล.อ.ประยุทธ์เดินขึ้นตึกไทยคู่ฟ้าในทันทีด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส อย่างไรก็ตามหลังการเดินขึ้นตึกไทยคู่ฟ้า นายกรัฐมนตรีได้สั่งให้ทีมรักษาความปลอดภัย แจ้งต่อสื่อมวลชนว่า หากมีคำถามให้เขียนส่งมา โดยนายกรัฐมนตรีพร้อมเขียนตอบคำถามกลับมา
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเป็นที่สังเกตได้ว่าคำถามที่สื่อมวลชนส่งไปนั้น นายกรัฐมนตรีไม่ได้ตอบคำถามทั้งหมดที่เกี่ยวกับประเด็นทางการเมือง เช่น การปฏิรูปตำรวจ การซื้อขายตำแหน่งตำรวจ การเซ็ตซีโร่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และฝ่ายการเมืองต้องการระดมความเห็นแนวทางปฏิรูปเสนอรัฐบาล แต่ถูกห้ามประชุมพรรค
โดยคำถามกรณีคณะรัฐมนตรี(ครม.) อนุมัติงบประมาณ 2,300 ล้านบาท ในการจัดซื้อรถยานเกาะล้อยาง รุ่น VN1 จากสาธารณรัฐประชาชนจีนนั้น พล.อ.ประยุทธ์เขียนตอบว่า เรื่องดังกล่าว พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ในฐานะผู้รับผิดชอบโดยตรง ได้ชี้แจงเหตุผลกับสื่อไปแล้ว ยืนยันฝ่ายความมั่นคง และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้ประเมินคุณภาพและราคาคุ้มค่า โดยมีการส่งคณะกรรมการเดินทางไปดูและเปรียบเทียบในทุกๆด้าน ซึ่งคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องทั้งหมดได้สรุปว่าของจีน เหมาะสม มีขีดความสามารถและการแข่งขัน เมื่อเปรียบเทียบแล้ว ด้อยกว่าตรงไหน ส่วนรถยานเกาะล้อยางที่ไทยมีความสามารถในการผลิตนั้น ของไทยยังต้องปรับปรุงอยู่
ขณะที่กรณีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจไปควบคุมการแสดงของ ศิลปิน “ลำไย ไหทองคำ” ที่ จ.สุราษฏร์ธานีนั้น พล.อ.ประยุทธ์ ระบุว่า ต้องขอขอบคุณที่ทางลำไยและสังกัดให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี เจ้าหน้าที่คงไม่ต้องไปตามดู ทั้ง คสช.และตำรวจต้องระมัดระวัง อย่าทำเกินขอบเขต บางครั้งอาจทำเกินเลย ผิดเจตนา เนื่องจากเกิดอาจความไม่เข้าใจ ต้องให้เกียรติซึ่งกันและกัน
ส่วนกรณีที่เฟซบุ๊คส่วนตัว น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มียอดผู้ชื่นชอบ (ไลค์) ถึง 6 ล้านไลค์ รวมถึงการลงพื้นที่หลายแห่ง พล.อ.ประยุทธ์เขียนตอบว่า มีความเหมาะสมต่อสถานการณ์หรือไม่นั้น มองว่าใครก็ทำได้ อยู่ที่ประชาชนจะเชื่อแค่ไหนระหว่างกดไลค์กับผลการปฏิบัติ
ทางด้าน นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) แถลงผลการรับฟังคำชี้แจงจากค่ายผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือ กรณีจับกุมชาวต่างชาติลักลอบรับจ้างกดไลค์ให้สินค้า โดยใช้โทรศัพท์มือถือ ที่ อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว ว่า ผลการตรวจสอบซิมของกลางทั้ง 374,200 ซิมเป็นซิมของ โอเปอเรเตอร์ 3 ค่าย คือ เอไอเอส ดีแทค และ ทรู โดย กสทช.พร้อมกับผู้ให้บริการทั้ง 3 ค่ายจะเดินทางไปตรวจสอบเพิ่มเติมที่ จ.สระแก้วร่วมกันในวันที่ 17 มิ.ย. สำหรับการตรวจสอบนั้น จะตรวจสอบว่าโทรศัพท์มือถือของกลาง รวมถึงการนำซิมมาใช้บริการถูกต้องหรือไม่ , มีการเปิดใช้บริการ และลงทะเบียนถูกต้องหรือยัง หากพบว่ามีความผิดเกิดขึ้นจะแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษกับผู้เป็นเจ้าของซิม ทั้งนี้จากการตรวจสอบอย่างไม่เป็นทางการโดยโอเปอเรเตอร์พบว่าซิมบางส่วนมีการลงทะเบียนถูกต้องโดยใช้หนังสือเดินทางของชาวต่างประเทศ บางส่วนเป็นการลงทะเบียนโดยผู้ขาย
“กสทช. เป็นผู้รักษาการณ์ ตาม พ.ร.บ.วิทยุโทรคมนาคม หากพบว่า มีการเอาอุปกรณ์โทรศัพท์ซึ่งเป็นวิทยุโทรคมนาคมไปใช้โดยไม่ได้ขออนุญาต ถือว่าความผิดที่เกิดขึ้นเป็นการประกอบกิจการโดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นความผิด ที่กสทช.จะร้องทุกข์กล่าวโทษ” นายฐากร กล่าว.
วานนี้ (15 มิ.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานจากทำเนียบรัฐบาลว่า ภายหลังเป็นประธานการประชุมเขตเศรษฐกิจพิเศษ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ปฏิเสธที่จะแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน โดยพล.อ.ประยุทธ์เดินขึ้นตึกไทยคู่ฟ้าในทันทีด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส อย่างไรก็ตามหลังการเดินขึ้นตึกไทยคู่ฟ้า นายกรัฐมนตรีได้สั่งให้ทีมรักษาความปลอดภัย แจ้งต่อสื่อมวลชนว่า หากมีคำถามให้เขียนส่งมา โดยนายกรัฐมนตรีพร้อมเขียนตอบคำถามกลับมา
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเป็นที่สังเกตได้ว่าคำถามที่สื่อมวลชนส่งไปนั้น นายกรัฐมนตรีไม่ได้ตอบคำถามทั้งหมดที่เกี่ยวกับประเด็นทางการเมือง เช่น การปฏิรูปตำรวจ การซื้อขายตำแหน่งตำรวจ การเซ็ตซีโร่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และฝ่ายการเมืองต้องการระดมความเห็นแนวทางปฏิรูปเสนอรัฐบาล แต่ถูกห้ามประชุมพรรค
โดยคำถามกรณีคณะรัฐมนตรี(ครม.) อนุมัติงบประมาณ 2,300 ล้านบาท ในการจัดซื้อรถยานเกาะล้อยาง รุ่น VN1 จากสาธารณรัฐประชาชนจีนนั้น พล.อ.ประยุทธ์เขียนตอบว่า เรื่องดังกล่าว พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ในฐานะผู้รับผิดชอบโดยตรง ได้ชี้แจงเหตุผลกับสื่อไปแล้ว ยืนยันฝ่ายความมั่นคง และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้ประเมินคุณภาพและราคาคุ้มค่า โดยมีการส่งคณะกรรมการเดินทางไปดูและเปรียบเทียบในทุกๆด้าน ซึ่งคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องทั้งหมดได้สรุปว่าของจีน เหมาะสม มีขีดความสามารถและการแข่งขัน เมื่อเปรียบเทียบแล้ว ด้อยกว่าตรงไหน ส่วนรถยานเกาะล้อยางที่ไทยมีความสามารถในการผลิตนั้น ของไทยยังต้องปรับปรุงอยู่
ขณะที่กรณีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจไปควบคุมการแสดงของ ศิลปิน “ลำไย ไหทองคำ” ที่ จ.สุราษฏร์ธานีนั้น พล.อ.ประยุทธ์ ระบุว่า ต้องขอขอบคุณที่ทางลำไยและสังกัดให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี เจ้าหน้าที่คงไม่ต้องไปตามดู ทั้ง คสช.และตำรวจต้องระมัดระวัง อย่าทำเกินขอบเขต บางครั้งอาจทำเกินเลย ผิดเจตนา เนื่องจากเกิดอาจความไม่เข้าใจ ต้องให้เกียรติซึ่งกันและกัน
ส่วนกรณีที่เฟซบุ๊คส่วนตัว น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มียอดผู้ชื่นชอบ (ไลค์) ถึง 6 ล้านไลค์ รวมถึงการลงพื้นที่หลายแห่ง พล.อ.ประยุทธ์เขียนตอบว่า มีความเหมาะสมต่อสถานการณ์หรือไม่นั้น มองว่าใครก็ทำได้ อยู่ที่ประชาชนจะเชื่อแค่ไหนระหว่างกดไลค์กับผลการปฏิบัติ
ทางด้าน นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) แถลงผลการรับฟังคำชี้แจงจากค่ายผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือ กรณีจับกุมชาวต่างชาติลักลอบรับจ้างกดไลค์ให้สินค้า โดยใช้โทรศัพท์มือถือ ที่ อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว ว่า ผลการตรวจสอบซิมของกลางทั้ง 374,200 ซิมเป็นซิมของ โอเปอเรเตอร์ 3 ค่าย คือ เอไอเอส ดีแทค และ ทรู โดย กสทช.พร้อมกับผู้ให้บริการทั้ง 3 ค่ายจะเดินทางไปตรวจสอบเพิ่มเติมที่ จ.สระแก้วร่วมกันในวันที่ 17 มิ.ย. สำหรับการตรวจสอบนั้น จะตรวจสอบว่าโทรศัพท์มือถือของกลาง รวมถึงการนำซิมมาใช้บริการถูกต้องหรือไม่ , มีการเปิดใช้บริการ และลงทะเบียนถูกต้องหรือยัง หากพบว่ามีความผิดเกิดขึ้นจะแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษกับผู้เป็นเจ้าของซิม ทั้งนี้จากการตรวจสอบอย่างไม่เป็นทางการโดยโอเปอเรเตอร์พบว่าซิมบางส่วนมีการลงทะเบียนถูกต้องโดยใช้หนังสือเดินทางของชาวต่างประเทศ บางส่วนเป็นการลงทะเบียนโดยผู้ขาย
“กสทช. เป็นผู้รักษาการณ์ ตาม พ.ร.บ.วิทยุโทรคมนาคม หากพบว่า มีการเอาอุปกรณ์โทรศัพท์ซึ่งเป็นวิทยุโทรคมนาคมไปใช้โดยไม่ได้ขออนุญาต ถือว่าความผิดที่เกิดขึ้นเป็นการประกอบกิจการโดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นความผิด ที่กสทช.จะร้องทุกข์กล่าวโทษ” นายฐากร กล่าว.