เมื่อบรรดา “นักการเมือง” ท่านเริ่มกลับเข้าค่าย เข้าพรรค...การ “มองข้ามช็อต” ไปถึงขั้นใครจะเป็น “นายกฯ คนต่อไป” จึงถือเป็น “ธรรมชาติทางการเมือง” อันมิอาจหลีกเลี่ยงปฏิเสธได้ และในเมื่อระบบการเมืองได้ถูกออกแบบเอาไว้แล้วล่วงหน้าว่าคงต้องเป็นการเมืองแบบ “2.0” ไปอีกซักพักใหญ่ๆ ย่อมถือเป็นเรื่องไม่แปลก...ที่ใครต่อใครจะออกมา “เชียร์ทหาร” และ “ต่อต้านทหาร” ไปตามคุณลักษณะ ตามรสนิยมของใคร-ของมัน...
แต่ก็แน่ล่ะว่า...การออกมาชูจั๊กกะแร้เชียร์ให้ “บัวขาว ป.ประยุทธ์” เป็นนายกฯ แบบ “ลากยาวว์ว์ว์” ไปเลยนั้น แม้อาจถือเป็น “ความจริงในเชิงประจักษ์” จัดอยู่ในลักษณะ “ประจักษ์นิยม” หรือ “ประสบการณ์นิยม” ก็แล้วแต่จะว่ากันไป แต่คงปฏิเสธไม่ได้ว่า มันออกจะขัดกับ “อารมณ์-ความรู้สึก” ของผู้คนจำนวนไม่น้อย ที่คุ้นเคย คุ้นชินกับ “รูปแบบประชาธิปไตย” ตามลักษณะฝรั่งตะวันตกมาโดยตลอด โอกาสที่จะเกิดแรงเสียดสี เสียดทาน จนอาจนำไปสู่อาการ “เบรกไหม้” โดยใช่เหตุ ย่อมมีความเป็นไปได้สูงเอามากๆ...
พูดง่ายๆ ว่า...แม้อาจเป็น “ข้อเท็จจริงทางการเมือง” ที่ตั้งอยู่บนความปรารถนาดีต่อส่วนรวม ต่อชาติบ้านเมืองมิใช่น้อย แต่มันอาจดู “หยาบ” เกินไปหน่อย หรือน่าจะ “เนียนๆ” กว่านี้ได้อีกเยอะ คืออย่างน้อย...ก็น่าจะหันไปอ้างอิงถึงตัวอย่างซึ่งมีอยู่เยอะแยะมากมายในโลกนี้ ที่แสดงให้เห็นถึง “ความล้มเหลว” ของประชาธิปไตยแบบตะวันตก ที่มันมักผูกตัวเองเอาไว้กับทุนนิยม-วัตถุนิยม-บริโภคนิยม จนทำให้ความหมายของคำว่า “ประชาชน” ในสังคมนั้นๆ ออกจะสวนทางกับ “ธรรมะ” หรือขัดแย้งกับครรลองคลองธรรมหนักขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้น...ท่ามกลางภาวะที่ “ประชาชนไม่มีธรรม” กระบวนการทางการเมืองที่ถือเป็นของประชาชน เพื่อประชาชน และโดยประชาชน มันจึงกลายเป็นกระบวนการอันมักนำมาซึ่งระบอบการปกครองแบบ “ประชาธิป...ตาย” มากกว่าที่จะเป็น “ประชาธิปไตย” แบบเดิมๆ โดยสามารถเห็นตัวอย่างได้ชัดเจน จากไม่รู้ต่อกี่ประเทศในโลกนี้ แม้แต่ประเทศที่ได้ชื่อว่าเป็น “แม่แบบประชาธิปไตย” เองก็เถอะ ถึงได้เกิดลักษณะอาการแบบที่อภิมหานักวิชาการอย่างอาจารย์ “ปราโมทย์ นาครทรรพ” ท่านรจนาไว้เป็นบทกลอน ประมาณว่า... “ด้วยเหตุเพราะประเทศนี้ (อเมริกา) มันมีกรรม...จึงได้ทรัมป์เป็นนายขายหน้าเอย” อะไรทำนองนั้น...
ส่วนประเทศไทย สังคมไทย คงไม่ได้ต่างไปจากสังคมอื่นๆ โดยทั่วไป...ท่ามกลางการวิ่งไล่กวด ไล่ตาม ทุนนิยม-วัตถุนิยม-บริโภคนิยม มาโดยตลอด โอกาสที่จะเกิดประชาชนแบบ “น้องเปรี้ยว” ที่แม้จะเป็นแค่สาวรุ่นอายุเพียง 24-25 ปีเท่านั้นเองแต่สามารถแสดงออกถึงความโหดเหี้ยมอำมหิต ทั้งซ้อม ทั้งบีบคอ ฆ่าหั่นศพเพื่อนสาววัยรุ่นด้วยกัน กลายเป็นข่าวพาดหัวสื่อต่างๆ ชนิดตื่นตะลึง พรึงเพริดกันไปทั้งบ้าน ทั้งเมือง จนแทบถือเป็นเรื่อง “ไม่ปกติที่ปกติ” ไปแล้ว เป็นสังคมที่ “เชื้อโรคแห่งอาชญากรรม” แพร่ระบาดไปทั่ว สังคมที่เต็มไปด้วยการหลอกลวง ต้มตุ๋น ปรากฏให้เห็นแทบทุกช่วง ทุกระยะภายใต้สภาพเช่นนี้...มันจึงเลี่ยงไม่พ้นที่จะต้องออกแบบ ต้องประยุกต์ “ความเป็นประชาธิปไตย” เอาไว้บ้าง เพื่อไม่ให้ต้อง “ตายกันไปทั้งประเทศ”...
ดังนั้น...สิ่งที่จะนำมาใช้ทดแทนความเป็นประชาธิปไตย ซึ่งอาจต้องขาดหายกันไปบ้าง โดยเฉพาะในแง่ “รูปแบบ” มันก็คือการสอดแทรก “ธรรมะ” เข้าไปใน “เนื้อหา” นั่นเอง แต่นั่นคงไม่ได้หมายถึงการออกมา “เชียร์ทหาร” แบบโต้งๆ โจ้งๆ เพราะถ้าหากทหารรายใดเกิดน็อตหลุด น็อตหลวม ขาด “ธรรมะ” ข้อหนึ่ง ข้อใด ขึ้นมาในวันหนึ่ง วันใด โอกาสที่มันจะเกิดอาการ “เบรกไหม้” หัวทิ่ม หัวตำ กันไปทั้งประเทศ ก็ใช่ว่าจะไม่มีเอาเสียเลย!!! ด้วยเหตุนี้...สำหรับผู้ที่ “ยึดมั่นในธรรม” ทั้งหลาย คงต้องเผื่อเหลือ เผื่อใจ เอาไว้มั่ง ไม่ว่าจะรักใคร เชียร์ใคร อย่างน้อย...คงต้องพยายามนึกถึงอารมณ์-ความรู้สึกของผู้อื่นให้มากๆ เข้าไว้ ต้องเล่นกันแบบ “เนียนๆ” อย่าให้ถึงกับหยาบกร้าน จนอาจก่อให้เกิดความระเคือง ระคาย เกิดแรงเสียดสี เสียดทาน โดยใช่เหตุ เพราะสิ่งอันเป็นที่พึงปรารถนาสำหรับประเทศไทย สังคมไทย ในอนาคตข้างหน้าคือ “ธรรมาธิปไตย” นั่นเอง ไม่ใช่ “บุคลาธิปไตย” หรือ “บุคลาธิษฐาน” คนหนึ่ง คนใดที่จะรับเหมา ผูกขาด สิ่งเหล่านี้เอาไว้ได้โดยลำพัง...