รัฐบาลเมินเสียงนักการเมืองรุมสวด เดินหน้าชวนคนไทยตอบ 4 คำถาม "บิ๊กตู่" ก่อนรวบรวมความคิดเห็นแล้วแจ้งให้ทราบต่อไป ระบุประชาชนควรมีส่วนร่วม เพื่อแสดงถึงความต้องการที่แท้จริง พร้อมเตือนสติ ต้องมีศักดิ์ศรีตนเอง อย่าให้คนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งมาปลุกปั่นได้ "เสี่ยจ้อน"ยันคำถามไม่เกี่ยวกับการเลื่อนโรดแมปเลือกตั้ง ปชป.ซัดคำถามชี้นำ สร้างกระแส เชื่อมท.ชงคำตอบหวานเจี๊ยบ
จากกรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. ตั้งคำถาม 4 ข้อ ถามความเห็นประชาชน ต่อการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นตามโรดแมป ว่า 1. ท่านคิดว่าการเลือกตั้งครั้งต่อไป จะได้รัฐบาลที่มีธรรมาภิบาลหรือไม่ 2. หากไม่ได้ จะทำอย่างไร 3 . การเลือกตั้งเป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งของประชาธิปไตย แต่การเลือกตั้งอย่างเดียวที่ไม่คำนึงถึงอนาคตของประเทศ และเรื่องอื่นๆ เช่น ประเทศชาติจะมียุทธศาสตร์และการปฏิรูปหรือไม่นั้น ถูกต้อง หรือไม่ถูกต้อง และ 4. ท่านคิดว่า กลุ่มนักการเมืองที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในทุกกรณี ควรจะมีโอกาสเข้ามาสู่การเลือกตั้งอีกหรือไม่ หากเข้ามาได้อีก เกิดปัญหาอีก แล้วจะให้ใครแก้ไข และแก้ไขด้วยวิธีอะไร ขอให้ส่งคำตอบ และความคิดเห็น มาทางศูนย์ดำรงธรรมในทุกจังหวัด แล้วให้กระทรวงมหาดไทยรวมรวมส่งมา ยินดีรับฟัง
จากคำถามดังกล่าว ทำให้มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์เป็นอย่างมากโดยเฉพาะจากนักการเมือง ที่ตีความว่า เป็นการจงใจถามเพื่อโจมตีนักการเมือง และหาเหตุที่จะการเลือกตั้งออกไป
พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงเรื่องนี้ว่าความเห็นของประชาชน ที่ผ่านมาทางศูนย์ดำรงธรรม ทั้งหมดจะถูกรวบรวมให้ กระทรวงมหาดไทย เพื่อส่งต่อให้นายกรัฐมนตรี ส่วนรายละเอียดการปฏิบัติ หรือการตอบคำถามของประชาชน รัฐบาลจะแจ้งให้ทราบในโอกาสต่อไป
"นายกรัฐมนตรี มุ่งหวังให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการกำหนดทิศทางของบ้านเมือง และนำความคิดเห็นที่ได้รับไปใช้ประโยชน์ เพราะที่ผ่านมาเรามักจะได้ยินแต่ความเห็นของนักการเมือง นักวิชาการ หรือจากผลสำรวจของโพลต่างๆ ที่เก็บข้อมูลจากตัวแทนของประชาชนเพียงจำนวนหนึ่งเท่านั้น ดังนั้น ครั้งนี้จะเป็นการรวบรวมความคิดเห็นของประชาชนส่วนใหญ่อีกทางหนึ่ง ที่จะสะท้อนกลับมายังรัฐบาล และนักการเมืองว่า อะไรคือความต้องการที่แท้จริงของประชาชน" พล.ท.สรรเสริญ กล่าว
พล.ท.สรรเสริญ กล่าวอีกว่า นายกรัฐมนตรี ยังต้องการเตือนสติคนไทยว่า ต้องมีศักดิ์ศรีของตัวเอง โดยการแสดงออกซึ่งความคิดเห็นที่สร้างสรรค์ มีคุณค่าต่อประเทศชาติ ไม่ยอมให้ใครคนใดคนหนึ่ง หรือกลุ่มใดออกมาชักจูง ปลุกปั่น บิดเบือน หรือให้ความหวังแบบที่เคยทำก่อนการเลือกตั้งทุกครั้ง เช่น โจมตีรัฐบาล สัญญากับประชาชนว่าจะให้สิ่งนั้น ให้สิ่งนี้ โดยหวังแต่เพียงคะแนนเสียง และปลุกกระแสการเลือกตั้ง ทั้งๆ ที่กรอบเวลาของการเลือกตั้งตามโรดแมปก็ยังมาไม่ถึง แต่ไม่เคยพูดถึงการแก้ไขปัญหาของชาติ ที่ตนเองมีส่วนสร้างไว้ในอดีต หรือจะขับเคลื่อนประเทศไปข้างหน้า ให้สามารถแข่งขันกับประเทศอื่นได้อย่างไร สำหรับรัฐบาลนี้ขอให้ความเชื่อมั่นว่า จะเร่งสะสางปัญหาที่หมักหมม และสร้างความเสียหายกับประเทศไว้ให้ดีที่สุด พร้อมทั้งเดินหน้าตามโรดแมปของการปฏิรูปประเทศ ไปสู่การเลือกตั้งตามกรอบเวลาที่กำหนดไว้
**คำถาม 4 ข้อไม่เกี่ยวเลื่อนเลือกตั้ง
นายอลงกรณ์ พลบุตร รองประธานสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศคนที่หนึ่ง กล่าวถึงประเด็นคำถาม 4 ข้อ ของนายกฯ เป็นสัญญานการเลื่อนเลือกตั้งหรือไม่ว่า ไม่มีนัยยะใดๆ หรือเป็นการส่งสัญญานใดๆ เกี่ยวกับการเลื่อน หรือไม่เลื่อนการเลือกตั้ง เนื่องจากรธน. กำหนดเส้นทางสู่การเลือกตั้งเป็นขั้นเป็นตอน ภายใต้กรอบเวลาที่ชัดเจน กล่าวคือ เมื่อรธน.มีผลบังคับใช้ ตั้งแต่วันที่ 6เม.ย.60 กรธ.ต้องจัดทำร่าง พรบ.ประกอบรัฐธรรมนูญที่จำเป็นต่อการเลือกตั้งให้แล้วเสร็จภายใน 240 วัน แล้วส่งสนช.พิจารณาให้แล้วเสร็จภายใน 60 วัน จากนั้น กกต.ต้องจัดการเลือกตั้งภายใน150 วัน
"ผมคิดว่าเป็นคำถามถึงอนาคตข้างหน้าว่า จะได้คนดีมีความรู้ความสามารถมาปกครองบ้านเมืองได้อย่างไร เป็นเรื่องที่ประชาชนต้องช่วยกันคิด เพราะในอดีตมีรัฐธรรมนูญ ฉบับปี 2540 ที่ว่ากันว่าเป็นประชาธิปไตยมากที่สุด ดีที่สุดฉบับหนึ่ง แต่ก็ไม่ทำให้การเลือกตั้งสุจริต หรือได้รัฐบาลที่มีธรรมาภิบาล มิหนำซ้ำการตรวจสอบทุจริตในระบบรัฐสภา ก็ไม่ได้ผลองค์กรอิสระถูกแทรกแซงจนนำไปสู่การต่อสู้นอกสภาด้วยความรุนแรง แบ่งประชาชนเป็นฝักฝ่าย ห้ำหั่นฆ่าฟันกันจนเกือบเกิดสงครามกลางเมือง และทำให้เกิดการรัฐประหารถึง 2 ครั้งในเวลา10 ปี ซึ่งเป็นอดีตที่ขมขื่นของประชาธิปไตย ที่ต้องไม่ให้เกิดขึ้นอีก ทั้งการเลือกตั้งที่ฉ้อฉล และการคอร์รัปชัน ปัญหาเหล่านี้เป็นปัญหาร่วมกันของคนไทยทั้งชาติ จึงไม่ใช่แค่ปัญหาของนายกฯ หรือของคนใดกลุ่มใด แต่เป็นปัญหาที่ต้องร่วมมือกันทุกภาคส่วน" นายอลงกรณ์ กล่าว
** เชื่อมท.ต้องชงคำตอบถูกใจนายกฯ
นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า การตั้งคำถามให้ประชาชนตอบ ผ่านทางกระทรวงมหาดไทย โดยมีข้าราชการ นำโดย ปลัดกระทรวงมหาดไทย รวบรวมคำตอบมาให้นายกฯนั้น เราคงคาดหวังไม่ได้ว่าจะได้คำตอบที่ตรงไปตรงมา น่าเชื่อถือ แต่น่าจะได้คำตอบที่ถูกใจนายกฯ มากกว่า
ทั้งนี้ คำถามมีลักษณะชี้นำ โน้มเอียง หวังโน้มน้าวให้ได้รับคำตอบตามที่ผู้ถามต้องการมากกว่าจะได้รับคำตอบที่แท้จริง การตั้งคำถามทั้ง 4 ข้อของนายกฯ จึงไม่น่าจะเกิดประโยชน์ใดๆ ต่อบ้านเมือง มีแต่จะเพิ่มปัญหาให้ประเทศชาติ ก่อให้เกิดผลกระทบต่อการสร้างความสามัคคีปรองดองที่นายกฯ และ คสช. พยายามเดินหน้าเรื่องนี้อยู่โดยใช่เหตุ
อย่างไรก็ตาม ตนเห็นว่า กลุ่มแรกที่ควรตอบคำถามทั้ง 4 ข้อนี้ คือ ตัวนายกฯเอง และ คสช.ทั้งคณะ ที่น่าจะต้องรู้คำตอบดีกว่าประชาชนคนอื่น เพราะคสช. ปฏิวัติ ยึดอำนาจล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ที่คณะคสช. บอกว่านักการเมืองทำให้ประเทศชาติมีปัญหา แล้วสถาปนาอำนาจของตนเองขึ้นมา โดยมีเป้าหมายที่จะสร้างความสามัคคีปรองดอง ทำการปฏิรูปด้านต่างๆ ทั้งการปฏิรูปเศรษฐกิจ สังคมการเมือง ปฏิรูปตำรวจ ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม ปฏิรูปการศึกษา เพื่อให้ประเทศไทยเปลี่ยนแปลงไปจากอดีตที่ผ่านมา และเพื่อให้ได้รัฐบาลจากการเลือกตั้งที่มีธรรมาภิบาล นายกฯและ คสช.ยังมีแม่น้ำ 5 สาย ช่วยทำงานให้รัฐบาลหลังการเลือกตั้งมีธรรมาภิบาล มีการทำรัฐธรรมนูญฉบับปราบโกง มีการออกพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ และกฎหมายอื่นๆ อีกมากมาย ที่จะช่วยทำให้รัฐบาลหลังเลือกตั้งมีธรรมาภิบาล
"คสช.จึงน่าจะตอบคำถาม 4 ข้อนี้ได้ดีกว่าคนอื่น เพราะท่านทำมากับมือ โดยใช้เวลาอยู่ในอำนาจที่เบ็ดเสร็จเด็ดขาดถึง 4-5 ปี กว่าจะมีรัฐบาลใหม่จากการเลือกตั้งตามโรดแมป ดูจากคำถามแล้ว รู้สึกว่านายกฯ จะวิตกกังวลว่ารัฐบาลหลังการเลือกตั้ง จะไม่มีธรรมาภิบาล ซึ่งนายกฯไม่ควรวิตกกังวล ควรปล่อยให้ประชาชนกำหนดอนาคตของตัวเอง ไม่ควรมีใครทำตัวเป็นคุณพ่อรู้ดี ชี้นำประชาชน ถ้าได้รัฐบาลไม่เหมาะสม ก็มีกลไกต่างๆ มากมายที่ท่านมีส่วนกำหนดขึ้นจัดการได้อยู่แล้วไม่ใช่หรือ อย่าถือเอาอำนาจที่มีอยู่ในปัจจุบันไปวิตกกังวล หรือตัดสินใจแทนประชาชนล่วงหน้า ไม่ว่านายกฯ จะมีเจตนาดีอย่างไรในการตั้งคำถาม แต่ตัวคำถาม และกระบวนการได้มาซึ่งคำตอบ ก็ไม่อยู่บนพื้นฐานของความชอบธรรมความน่าเชื่อถือ แต่กลับทำให้ถูกมองได้ว่า ชี้นำ ทำการสร้างกระแสเพื่อให้มีเงื่อนไขในการสืบทอดอำนาจ แทนที่จะเอาเวลามาคิดค้นคำถามเพื่อหาคำตอบที่ข้าราชการกระทรวงมหาดไทย จะชงมาให้ถูกใจท่าน ท่านควรเอาเวลาที่เหลืออยู่เกือบ 2 ปี ไปสร้างกลไก และมาตรการต่างๆ ให้รัฐบาลใหม่อยู่ในการบริหารงานที่มีธรรมาภิบาลจะดีกว่า" นายองอาจ กล่าว
**"เสี่ยตือ"บอก"คำถามที่ไม่ต้องถาม"
นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล ที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา ได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวถึงเรื่องนี้ ว่า "คำถาม ที่ไม่ต้องถาม"
เห็น 4 คำถามที่ท่านนายกรัฐมนตรี ขอให้ประชาชนตอบ คิดว่านี่ถ้าท่านนายกรัฐมนตรี มาจากระบอบประชาธิปไตย จากการตัดสินใจของประชาชนแล้วคำถามทั้ง 4 ข้อ ท่านคงไม่ต้องตั้งคำถามหรอก เพราะทั้งหมดมันมีคำตอบอยู่ในตัวเองแล้วทุกข้อ อับบราฮัม ลินคอล์น อดีตประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา พูดไว้ชัดเจน การปกครองระบอบประชาธิปไตยคือการปกครองที่เป็นของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน การเคารพประชาชน รับฟังประชาชน ให้เกียรติประชาชน และอย่าประเมินประชาชนต่ำเกินไป จะทำให้ท่านได้คำตอบที่ชัดเจนครับ นักการเมือง ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ และประชาชน ไม่มีใครรักชาติ มากน้อยไปกว่ากันหรอกครับ นอกจากความรู้สึกเท่านั้นที่ ท่านอาจจะรักชาติมากกว่าทุกคน ซึ่งมันก็เป็นสิทธิของท่านครับ
นายกฯ มี สี่สงสัย วานให้ตอบ นี่ถ้ามา ตามระบอบ ไม่ต้องถาม ประชาธิปไตย กำหนดไว้ในนิยาม ถ้ามอบความ ศรัทธา ประชาชน
จากกรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. ตั้งคำถาม 4 ข้อ ถามความเห็นประชาชน ต่อการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นตามโรดแมป ว่า 1. ท่านคิดว่าการเลือกตั้งครั้งต่อไป จะได้รัฐบาลที่มีธรรมาภิบาลหรือไม่ 2. หากไม่ได้ จะทำอย่างไร 3 . การเลือกตั้งเป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งของประชาธิปไตย แต่การเลือกตั้งอย่างเดียวที่ไม่คำนึงถึงอนาคตของประเทศ และเรื่องอื่นๆ เช่น ประเทศชาติจะมียุทธศาสตร์และการปฏิรูปหรือไม่นั้น ถูกต้อง หรือไม่ถูกต้อง และ 4. ท่านคิดว่า กลุ่มนักการเมืองที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในทุกกรณี ควรจะมีโอกาสเข้ามาสู่การเลือกตั้งอีกหรือไม่ หากเข้ามาได้อีก เกิดปัญหาอีก แล้วจะให้ใครแก้ไข และแก้ไขด้วยวิธีอะไร ขอให้ส่งคำตอบ และความคิดเห็น มาทางศูนย์ดำรงธรรมในทุกจังหวัด แล้วให้กระทรวงมหาดไทยรวมรวมส่งมา ยินดีรับฟัง
จากคำถามดังกล่าว ทำให้มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์เป็นอย่างมากโดยเฉพาะจากนักการเมือง ที่ตีความว่า เป็นการจงใจถามเพื่อโจมตีนักการเมือง และหาเหตุที่จะการเลือกตั้งออกไป
พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงเรื่องนี้ว่าความเห็นของประชาชน ที่ผ่านมาทางศูนย์ดำรงธรรม ทั้งหมดจะถูกรวบรวมให้ กระทรวงมหาดไทย เพื่อส่งต่อให้นายกรัฐมนตรี ส่วนรายละเอียดการปฏิบัติ หรือการตอบคำถามของประชาชน รัฐบาลจะแจ้งให้ทราบในโอกาสต่อไป
"นายกรัฐมนตรี มุ่งหวังให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการกำหนดทิศทางของบ้านเมือง และนำความคิดเห็นที่ได้รับไปใช้ประโยชน์ เพราะที่ผ่านมาเรามักจะได้ยินแต่ความเห็นของนักการเมือง นักวิชาการ หรือจากผลสำรวจของโพลต่างๆ ที่เก็บข้อมูลจากตัวแทนของประชาชนเพียงจำนวนหนึ่งเท่านั้น ดังนั้น ครั้งนี้จะเป็นการรวบรวมความคิดเห็นของประชาชนส่วนใหญ่อีกทางหนึ่ง ที่จะสะท้อนกลับมายังรัฐบาล และนักการเมืองว่า อะไรคือความต้องการที่แท้จริงของประชาชน" พล.ท.สรรเสริญ กล่าว
พล.ท.สรรเสริญ กล่าวอีกว่า นายกรัฐมนตรี ยังต้องการเตือนสติคนไทยว่า ต้องมีศักดิ์ศรีของตัวเอง โดยการแสดงออกซึ่งความคิดเห็นที่สร้างสรรค์ มีคุณค่าต่อประเทศชาติ ไม่ยอมให้ใครคนใดคนหนึ่ง หรือกลุ่มใดออกมาชักจูง ปลุกปั่น บิดเบือน หรือให้ความหวังแบบที่เคยทำก่อนการเลือกตั้งทุกครั้ง เช่น โจมตีรัฐบาล สัญญากับประชาชนว่าจะให้สิ่งนั้น ให้สิ่งนี้ โดยหวังแต่เพียงคะแนนเสียง และปลุกกระแสการเลือกตั้ง ทั้งๆ ที่กรอบเวลาของการเลือกตั้งตามโรดแมปก็ยังมาไม่ถึง แต่ไม่เคยพูดถึงการแก้ไขปัญหาของชาติ ที่ตนเองมีส่วนสร้างไว้ในอดีต หรือจะขับเคลื่อนประเทศไปข้างหน้า ให้สามารถแข่งขันกับประเทศอื่นได้อย่างไร สำหรับรัฐบาลนี้ขอให้ความเชื่อมั่นว่า จะเร่งสะสางปัญหาที่หมักหมม และสร้างความเสียหายกับประเทศไว้ให้ดีที่สุด พร้อมทั้งเดินหน้าตามโรดแมปของการปฏิรูปประเทศ ไปสู่การเลือกตั้งตามกรอบเวลาที่กำหนดไว้
**คำถาม 4 ข้อไม่เกี่ยวเลื่อนเลือกตั้ง
นายอลงกรณ์ พลบุตร รองประธานสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศคนที่หนึ่ง กล่าวถึงประเด็นคำถาม 4 ข้อ ของนายกฯ เป็นสัญญานการเลื่อนเลือกตั้งหรือไม่ว่า ไม่มีนัยยะใดๆ หรือเป็นการส่งสัญญานใดๆ เกี่ยวกับการเลื่อน หรือไม่เลื่อนการเลือกตั้ง เนื่องจากรธน. กำหนดเส้นทางสู่การเลือกตั้งเป็นขั้นเป็นตอน ภายใต้กรอบเวลาที่ชัดเจน กล่าวคือ เมื่อรธน.มีผลบังคับใช้ ตั้งแต่วันที่ 6เม.ย.60 กรธ.ต้องจัดทำร่าง พรบ.ประกอบรัฐธรรมนูญที่จำเป็นต่อการเลือกตั้งให้แล้วเสร็จภายใน 240 วัน แล้วส่งสนช.พิจารณาให้แล้วเสร็จภายใน 60 วัน จากนั้น กกต.ต้องจัดการเลือกตั้งภายใน150 วัน
"ผมคิดว่าเป็นคำถามถึงอนาคตข้างหน้าว่า จะได้คนดีมีความรู้ความสามารถมาปกครองบ้านเมืองได้อย่างไร เป็นเรื่องที่ประชาชนต้องช่วยกันคิด เพราะในอดีตมีรัฐธรรมนูญ ฉบับปี 2540 ที่ว่ากันว่าเป็นประชาธิปไตยมากที่สุด ดีที่สุดฉบับหนึ่ง แต่ก็ไม่ทำให้การเลือกตั้งสุจริต หรือได้รัฐบาลที่มีธรรมาภิบาล มิหนำซ้ำการตรวจสอบทุจริตในระบบรัฐสภา ก็ไม่ได้ผลองค์กรอิสระถูกแทรกแซงจนนำไปสู่การต่อสู้นอกสภาด้วยความรุนแรง แบ่งประชาชนเป็นฝักฝ่าย ห้ำหั่นฆ่าฟันกันจนเกือบเกิดสงครามกลางเมือง และทำให้เกิดการรัฐประหารถึง 2 ครั้งในเวลา10 ปี ซึ่งเป็นอดีตที่ขมขื่นของประชาธิปไตย ที่ต้องไม่ให้เกิดขึ้นอีก ทั้งการเลือกตั้งที่ฉ้อฉล และการคอร์รัปชัน ปัญหาเหล่านี้เป็นปัญหาร่วมกันของคนไทยทั้งชาติ จึงไม่ใช่แค่ปัญหาของนายกฯ หรือของคนใดกลุ่มใด แต่เป็นปัญหาที่ต้องร่วมมือกันทุกภาคส่วน" นายอลงกรณ์ กล่าว
** เชื่อมท.ต้องชงคำตอบถูกใจนายกฯ
นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า การตั้งคำถามให้ประชาชนตอบ ผ่านทางกระทรวงมหาดไทย โดยมีข้าราชการ นำโดย ปลัดกระทรวงมหาดไทย รวบรวมคำตอบมาให้นายกฯนั้น เราคงคาดหวังไม่ได้ว่าจะได้คำตอบที่ตรงไปตรงมา น่าเชื่อถือ แต่น่าจะได้คำตอบที่ถูกใจนายกฯ มากกว่า
ทั้งนี้ คำถามมีลักษณะชี้นำ โน้มเอียง หวังโน้มน้าวให้ได้รับคำตอบตามที่ผู้ถามต้องการมากกว่าจะได้รับคำตอบที่แท้จริง การตั้งคำถามทั้ง 4 ข้อของนายกฯ จึงไม่น่าจะเกิดประโยชน์ใดๆ ต่อบ้านเมือง มีแต่จะเพิ่มปัญหาให้ประเทศชาติ ก่อให้เกิดผลกระทบต่อการสร้างความสามัคคีปรองดองที่นายกฯ และ คสช. พยายามเดินหน้าเรื่องนี้อยู่โดยใช่เหตุ
อย่างไรก็ตาม ตนเห็นว่า กลุ่มแรกที่ควรตอบคำถามทั้ง 4 ข้อนี้ คือ ตัวนายกฯเอง และ คสช.ทั้งคณะ ที่น่าจะต้องรู้คำตอบดีกว่าประชาชนคนอื่น เพราะคสช. ปฏิวัติ ยึดอำนาจล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ที่คณะคสช. บอกว่านักการเมืองทำให้ประเทศชาติมีปัญหา แล้วสถาปนาอำนาจของตนเองขึ้นมา โดยมีเป้าหมายที่จะสร้างความสามัคคีปรองดอง ทำการปฏิรูปด้านต่างๆ ทั้งการปฏิรูปเศรษฐกิจ สังคมการเมือง ปฏิรูปตำรวจ ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม ปฏิรูปการศึกษา เพื่อให้ประเทศไทยเปลี่ยนแปลงไปจากอดีตที่ผ่านมา และเพื่อให้ได้รัฐบาลจากการเลือกตั้งที่มีธรรมาภิบาล นายกฯและ คสช.ยังมีแม่น้ำ 5 สาย ช่วยทำงานให้รัฐบาลหลังการเลือกตั้งมีธรรมาภิบาล มีการทำรัฐธรรมนูญฉบับปราบโกง มีการออกพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ และกฎหมายอื่นๆ อีกมากมาย ที่จะช่วยทำให้รัฐบาลหลังเลือกตั้งมีธรรมาภิบาล
"คสช.จึงน่าจะตอบคำถาม 4 ข้อนี้ได้ดีกว่าคนอื่น เพราะท่านทำมากับมือ โดยใช้เวลาอยู่ในอำนาจที่เบ็ดเสร็จเด็ดขาดถึง 4-5 ปี กว่าจะมีรัฐบาลใหม่จากการเลือกตั้งตามโรดแมป ดูจากคำถามแล้ว รู้สึกว่านายกฯ จะวิตกกังวลว่ารัฐบาลหลังการเลือกตั้ง จะไม่มีธรรมาภิบาล ซึ่งนายกฯไม่ควรวิตกกังวล ควรปล่อยให้ประชาชนกำหนดอนาคตของตัวเอง ไม่ควรมีใครทำตัวเป็นคุณพ่อรู้ดี ชี้นำประชาชน ถ้าได้รัฐบาลไม่เหมาะสม ก็มีกลไกต่างๆ มากมายที่ท่านมีส่วนกำหนดขึ้นจัดการได้อยู่แล้วไม่ใช่หรือ อย่าถือเอาอำนาจที่มีอยู่ในปัจจุบันไปวิตกกังวล หรือตัดสินใจแทนประชาชนล่วงหน้า ไม่ว่านายกฯ จะมีเจตนาดีอย่างไรในการตั้งคำถาม แต่ตัวคำถาม และกระบวนการได้มาซึ่งคำตอบ ก็ไม่อยู่บนพื้นฐานของความชอบธรรมความน่าเชื่อถือ แต่กลับทำให้ถูกมองได้ว่า ชี้นำ ทำการสร้างกระแสเพื่อให้มีเงื่อนไขในการสืบทอดอำนาจ แทนที่จะเอาเวลามาคิดค้นคำถามเพื่อหาคำตอบที่ข้าราชการกระทรวงมหาดไทย จะชงมาให้ถูกใจท่าน ท่านควรเอาเวลาที่เหลืออยู่เกือบ 2 ปี ไปสร้างกลไก และมาตรการต่างๆ ให้รัฐบาลใหม่อยู่ในการบริหารงานที่มีธรรมาภิบาลจะดีกว่า" นายองอาจ กล่าว
**"เสี่ยตือ"บอก"คำถามที่ไม่ต้องถาม"
นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล ที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา ได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวถึงเรื่องนี้ ว่า "คำถาม ที่ไม่ต้องถาม"
เห็น 4 คำถามที่ท่านนายกรัฐมนตรี ขอให้ประชาชนตอบ คิดว่านี่ถ้าท่านนายกรัฐมนตรี มาจากระบอบประชาธิปไตย จากการตัดสินใจของประชาชนแล้วคำถามทั้ง 4 ข้อ ท่านคงไม่ต้องตั้งคำถามหรอก เพราะทั้งหมดมันมีคำตอบอยู่ในตัวเองแล้วทุกข้อ อับบราฮัม ลินคอล์น อดีตประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา พูดไว้ชัดเจน การปกครองระบอบประชาธิปไตยคือการปกครองที่เป็นของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน การเคารพประชาชน รับฟังประชาชน ให้เกียรติประชาชน และอย่าประเมินประชาชนต่ำเกินไป จะทำให้ท่านได้คำตอบที่ชัดเจนครับ นักการเมือง ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ และประชาชน ไม่มีใครรักชาติ มากน้อยไปกว่ากันหรอกครับ นอกจากความรู้สึกเท่านั้นที่ ท่านอาจจะรักชาติมากกว่าทุกคน ซึ่งมันก็เป็นสิทธิของท่านครับ
นายกฯ มี สี่สงสัย วานให้ตอบ นี่ถ้ามา ตามระบอบ ไม่ต้องถาม ประชาธิปไตย กำหนดไว้ในนิยาม ถ้ามอบความ ศรัทธา ประชาชน