นายสุริยะใส กตะศิลา รองคณบดีวิทยาลัยนวัตกรรมสังคม ม.รังสิต และ ผอ.สถาบันปฏิรูปประเทศไทย (สปท.) กล่าวถึง กรณีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ใช้คำสั่ง ม.44 ให้มหาวิทยาลัยต่างชาติมาตั้งในเมืองไทยได้ โดยกำหนดเงื่อนไขอนุญาตเฉพาะพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ และเปิดสอนเฉพาะหลักสูตร ที่มหาวิทยาลัยไทยไม่เปิดว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ คนในแวดวงหารศึกษา มีทั้งสนับสนุนและคัดค้าน น่าเสียดายที่รัฐบาลตัดสินใจเร็วไปหน่อย ยังไม่ได้ถกแถลง หรือพิจารณ์กันอย่างจริงจัง แม้รัฐบาลจะมีเจตนาดี เพื่อสร้างกลไกในการปฏิรูปการศึกษารองรับยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศก็ตาม แต่ก็มีข้อสังเกตที่รัฐบาลและกระทรวงศึกษาฯ ควรพิจารณาทบทวน 5 ประการดังนี้
1. สาขาที่มหาวิทยาลัยไทยไม่เปิดสอนนั้น เพราะขาดอาจารย์ผู้สอน หรือรัฐบาลไม่ส่งเสริม และทำไมรัฐบาลไม่ส่งเสริมถ้าจำเป็นต่อตลาดแรงงาน และยุทธศาสตร์ชาติ เช่น การยกระดับการศึกษาอาชีวะที่รัฐบาลวางเป้าหมายไว้จะต่อยอดเพื่ออุดช่องว่างในสาขาวิชาที่ขาดแคลนในระยะยาวได้อย่างไร
2. ทำไมไม่ใช้วิธีสนับสนุนให้มหาวิทยาลัยไทย ทำความร่วมมือ หรือ MOUกับมหาวิทยาลัยชั้นนำระดับโลก ในลักษณะจับคู่กัน ทั้งระดับมหาวิทยาลัยหรือระดับเฉพาะหลักสูตร ซึ่งในปัจจุบันแทบทุกมหาวิทยาลัยก็ทำกันอยู่แล้ว บางมหาวิทยาลัยของรัฐทำ MOUเต็มไปหมด แต่ไม่ประสบความสำเร็จ และเปลืองงบประมาณโดยใช่เหตุ ฉะนั้นรัฐควรเข้ามาส่งเสริมและสนับสนุน MOUกับมหาวิทยาลัยชั้นนำในสาขาที่ขาดแคลน เพราะจะทำให้มหาวิทยาลัยไทย มีศักยภาพในการแข่งขันระดับโลกได้และเป็นการพัฒนาการศึกษาที่ยั่งยืนกว่า
3. ที่บอกว่ามหาวิทยาลัยต่างชาติที่มาเปิดในไทย ได้รับข้อยกเว้นในการกำกับ ควบคุมมาตรฐานจากกระทรวงศึกษาฯนั้น ไม่น่าจะเป็นธรรมกับมหาวิทยาลัยไทย และจะทำให้เกิดความพิกลพิการของมาตรฐานการศึกษาของชาติในระยะยาว ทั้งยังเท่ากับเป็นการตอกย้ำระบบการประเมินคุณภาพมาตรฐานของอุดมศึกษาไทย ที่ต่ำกว่ามาตรฐานฝรั่ง
4. ปรัชญาการเปิดเสรีทางการศึกษา แม้เป็นสิ่งที่เราปฏิเสธไม่ได้ในยุคทุนนิยมเสรี แต่ปรัชญาการศึกษาของชาติในแต่ละชาติ ไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน และเราควรสงวนอัตลักษณ์และเป้าหมายทางการศึกษาของเราเช่นกัน โดยเฉพาะปรัชญาในการสร้างคนเก่งแต่ต้องเป็นคนดีไปพร้อมๆ กัน
5. เรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อน แม้มีข้อดีอยู่บ้าง แต่ก็มีข้อเสียไม่น้อยเช่นกัน และถ้าไม่ระมัดระวังจะกลายเป็นการศึกษาของคนรวย และคนจนรายได้น้อยเข้าไม่ถึงก็จะได้รับการศึกษาไร้คุณภาพต่อไปความเหลื่อมล้ำ และแบ่งแยกในระบบการศึกษาของไทยก็จะยังคงมีอยู่
ดังนั้น แทนที่จะใช้ ม.44 เปิดช่องเอื้อให้ต่างชาติเข้ามาตั้งมหาวิทยาลัย รัฐบาลต้องมียุทธศาสตร์การปฏิรูปการศึกษาทั้งระบบให้ชัดเจนก่อน และต้องสังคายนามหาวิทยาลัยไทย ทั้งรัฐและเอกชน เพื่อแสวงหาแนวทางความร่วมมือการส่งเสริม และพัฒนาศักยภาพมหาวิทยาลัยของไทยทั้งการสร้างนวัตกรรมการเรียนการสอน การปฏิรูปหลักสูตร และระบบการกำกับและวิธีการประเมินที่ยังมีปัญหาอยู่มาก
1. สาขาที่มหาวิทยาลัยไทยไม่เปิดสอนนั้น เพราะขาดอาจารย์ผู้สอน หรือรัฐบาลไม่ส่งเสริม และทำไมรัฐบาลไม่ส่งเสริมถ้าจำเป็นต่อตลาดแรงงาน และยุทธศาสตร์ชาติ เช่น การยกระดับการศึกษาอาชีวะที่รัฐบาลวางเป้าหมายไว้จะต่อยอดเพื่ออุดช่องว่างในสาขาวิชาที่ขาดแคลนในระยะยาวได้อย่างไร
2. ทำไมไม่ใช้วิธีสนับสนุนให้มหาวิทยาลัยไทย ทำความร่วมมือ หรือ MOUกับมหาวิทยาลัยชั้นนำระดับโลก ในลักษณะจับคู่กัน ทั้งระดับมหาวิทยาลัยหรือระดับเฉพาะหลักสูตร ซึ่งในปัจจุบันแทบทุกมหาวิทยาลัยก็ทำกันอยู่แล้ว บางมหาวิทยาลัยของรัฐทำ MOUเต็มไปหมด แต่ไม่ประสบความสำเร็จ และเปลืองงบประมาณโดยใช่เหตุ ฉะนั้นรัฐควรเข้ามาส่งเสริมและสนับสนุน MOUกับมหาวิทยาลัยชั้นนำในสาขาที่ขาดแคลน เพราะจะทำให้มหาวิทยาลัยไทย มีศักยภาพในการแข่งขันระดับโลกได้และเป็นการพัฒนาการศึกษาที่ยั่งยืนกว่า
3. ที่บอกว่ามหาวิทยาลัยต่างชาติที่มาเปิดในไทย ได้รับข้อยกเว้นในการกำกับ ควบคุมมาตรฐานจากกระทรวงศึกษาฯนั้น ไม่น่าจะเป็นธรรมกับมหาวิทยาลัยไทย และจะทำให้เกิดความพิกลพิการของมาตรฐานการศึกษาของชาติในระยะยาว ทั้งยังเท่ากับเป็นการตอกย้ำระบบการประเมินคุณภาพมาตรฐานของอุดมศึกษาไทย ที่ต่ำกว่ามาตรฐานฝรั่ง
4. ปรัชญาการเปิดเสรีทางการศึกษา แม้เป็นสิ่งที่เราปฏิเสธไม่ได้ในยุคทุนนิยมเสรี แต่ปรัชญาการศึกษาของชาติในแต่ละชาติ ไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน และเราควรสงวนอัตลักษณ์และเป้าหมายทางการศึกษาของเราเช่นกัน โดยเฉพาะปรัชญาในการสร้างคนเก่งแต่ต้องเป็นคนดีไปพร้อมๆ กัน
5. เรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อน แม้มีข้อดีอยู่บ้าง แต่ก็มีข้อเสียไม่น้อยเช่นกัน และถ้าไม่ระมัดระวังจะกลายเป็นการศึกษาของคนรวย และคนจนรายได้น้อยเข้าไม่ถึงก็จะได้รับการศึกษาไร้คุณภาพต่อไปความเหลื่อมล้ำ และแบ่งแยกในระบบการศึกษาของไทยก็จะยังคงมีอยู่
ดังนั้น แทนที่จะใช้ ม.44 เปิดช่องเอื้อให้ต่างชาติเข้ามาตั้งมหาวิทยาลัย รัฐบาลต้องมียุทธศาสตร์การปฏิรูปการศึกษาทั้งระบบให้ชัดเจนก่อน และต้องสังคายนามหาวิทยาลัยไทย ทั้งรัฐและเอกชน เพื่อแสวงหาแนวทางความร่วมมือการส่งเสริม และพัฒนาศักยภาพมหาวิทยาลัยของไทยทั้งการสร้างนวัตกรรมการเรียนการสอน การปฏิรูปหลักสูตร และระบบการกำกับและวิธีการประเมินที่ยังมีปัญหาอยู่มาก