ผู้จัดการรายวัน 360 - "จักรทิพย์" ประชุมเครียดสั่งเร่งจับคนร้าย ยกระดับ รปภ. “สถานที่สำคัญ- สัญลักษณ์” ขั้นสูงสุด ตั้ง"ศรีวราห์"เป็นหัวหน้าชุดทีมสืบสวน ระดมมือดีทั่วประเทศกว่า 200 นาย ยังไร้เงา"บิ๊กป้อม" ฝากทีมงานแจ้งสื่อว่าสุขภาพปกติดี เผยนั่งทำงานที่บ้าน-มูลนิธิป่ารอยต่อฯ ด้าน ผบ.ทบ.รับ "โกตี๋" อยู่ในข่ายผู้ต้องสงสัย “ชุดสืบสวน ตร.” ไล่เช็ควงจรปิด พบ 20 ผู้ต้องสงสัย ปูดทหารอุ้มเทปเกือบ 30 ชม.ก่อนส่งให้ตรวจสอบ แย้ม “อดีต3นายพล”อำนาจเก่าอาจเกี่ยวข้อง.
วานนี้ (25 พ.ค.) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. เป็นประธานการประชุม ติดตามความคืบหน้าการสืบสวนคดีลอบวางระเบิดภายในห้องวงษ์สุวรรณ โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ถ.ราชวิถี เมื่อวันที่ 22 พ.ค.ที่ผ่านมา โดยมี พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผบ.ตร. ด้านความมั่นคง พล.ต.อ.สุชาติ ธีระสวัสดิ์ ที่ปรึกษา(สบ10) พล.ต.ท.ชัยวัฒน์ เกตุวรชัย ผู้ช่วยผบ.ตร. ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ผบช.ภ.1-9 ผบช.ศชต. ผบช.ก.ผบช.ส. นายแพทย์ใหญ่ รพ.ตร. และชุดสืบสวนสอบสวนคดี รวมกว่า 200 นาย ร่วมประชุม โดยใช้เวลาประชุมประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง
พล.ต.อ.จักรทิพย์ เปิดเผยภายหลังการประชุมว่า ตำรวจกำลังรวบรวมพยานหลักฐานและต่อจิ๊กซอว์ มีการดำเนินการทุกมิติ เชื่อว่าคนร้ายน่าจะมาก่อเหตุไม่ต่ำกว่า 1 คน ขณะนี้กำลังจำลองเหตุการณ์ว่าคนร้ายเข้าเดินทางเข้ามาไหนและเดินทางออกไปทางไหน ทั้งนี้ในแนวทางการสืบสวน เชื่อว่าคนร้ายยังอาศัยอยู่ภายในประเทศและก็เชื่อว่าจะจับกุมได้ แต่ขณะนี้ยังไม่มีการควบคุมตัวผู้ต้องสงสัย นอกจาหนี้ได้สั่งการยกระดับความปลอดภัยทุกสถานที่สำคัญ ที่เป็นสัญลักษณ์ สถานที่ท่องเที่ยว ให้ดูแลความปลอดภัยขั้นสูงสุด
"วันนี้ สั่งการในที่ประชุมให้เร่งหาตัวคนร้ายที่ก่อเหตุมาลงโทษ พล.ต.อ.ศรีวราห์ รายงานผมทุกวัน ผมถามทุกวัน แต่ผมปล่อยให้ทำงานไม่เร่งรัดอะไร อยากจะออกหมายจับให้ได้ ถ้าจับผิดไป ก็จับแพะอีก ใครรับผิดชอบล่ะ ตอนนี้ยังไม่ตีกรอบว่ากลุ่มไหนทำ" ผบ.ตร.กล่าว
** ตั้ง"ศรีวราห์"หน.ทีมสืบสวนคดีบึ้ม
จากนั้นได้มีรายงานจาก สตช.ว่า พล.ต.อ.จักรทิพย์ ได้มีคำสั่ง ตร.ที่ 236/2560 ลงวันที่ 24 พ.ค.60 เรื่อง แต่งตั้งพนักงานสืบสวนสอบสวน เพื่อมารับผิดชอบในคดี เหตุระเบิด ที่ รพ.พระมงกุฎเกล้า โดยให้ พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผบ.ตร. เป็นหัวหน้าพนักงานสืบสวนสอบสวน และให้จัดโครงสร้างและคณะพนักงานสืบสวนสอบสวนอำนาจหน้าที่ โดยให้พนักงานสืบสวนสอบสวนรับผิดชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาร่วมกัน ทำการสืบสวนรวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ เพื่อที่จะทราบข้อเท็จจริง หรือพิสูจน์ความผิดของกลุ่มบุคคลบุคคล หรือเครือข่ายให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว
มีรายงานว่า คณะชุดสืบสวนสอบสวนตามคำสั่งนี้ ได้มีการระดมนายตำรวจที่เชี่ยวชาญด้านสืบสวน ด้านสอบสวน ด้านการข่าว ด้านอำนวยการ ทั่วประเทศ รวม 201 นาย เพื่อเร่งสืบสวนจับกุมกระทำความผิด รวมถึงผู้ที่เกี่ยวข้องกับคดีระเบิดที่เกิดขึ้นในครั้งนี้
** "ทำเนียบฯ-กห."ยังไร้เงา"บิ๊กป้อม"
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจาก พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ไม่ได้ปรากฏตัวตามสถานที่ต่างๆ และไม่ได้เดินทางเข้าไปปฏิบัติหน้าที่ ที่ทำเนียบรัฐบาล และที่กระทรวงกลาโหม เป็นเวลาเกือบสัปดาห์ โดยมีกระแสข่าวว่า ได้ยื่นใบลากับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคสช.แล้ว และมีข่าวเข้าพักรักษาตัวจากอาการป่วยที่โรงพยาบาล โดยเมื่อวันที่ 24 พ.ค.ที่ผ่านมา มีข่าว พล.อ.ประวิตร ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวทางโทรศัพท์ว่า จะกลับมาทำงานตามปกติ ในวันที่ 25 พ.ค. แต่ปรากฏว่า พล.อ.ประวิตร ก็ยังคงไม่ได้เข้ามาทำงาน ทั้งที่กระทรวงกลาโหม และทำเนียบรัฐบาล ทำให้ผู้สื่อข่าวพยายามโทรศัพท์เพื่อขอสัมภาษณ์ พล.อ.ประวิตร ซึ่งไม่ได้รับโทรศัพท์ แต่ได้ให้ทีมงานโทรศัพท์แจ้งกลับมาว่า พล.อ.ประวิตร ไม่สะดวกรับสาย ไม่ได้หายไปไหน ที่ไม่ได้เข้าทำเนียบฯและกระทรวงกลาโหม เพราะไม่มีกำหนดวาระงาน หรือการประชุมใดๆ แต่ได้ติดตาม และสั่งงานที่บ้าน ผ่านทางโทรศัพท์ ส่วนเรื่องของสุขภาพ พล.อ.ประวิตรฝากบอกว่า สุขภาพปกติดี ไม่ได้เป็นอะไรมาก
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เจ้าหน้าที่ของกระทรวงกลาโหม แจ้งว่า พล.อ.ประวิตร จะเข้ากระทรวงฯในวันที่ 29 พ.ค. เนื่องจากมีการประชุมสภากลาโหม โดย พล.อ.ประวิตร จะเป็นประธานการประชุม
ทั้งนี้โดยปกติแล้ว พล.อ.ประวิตร จะเดินทางเข้ามาที่กระทรวงกลาโหม ในวันที่มีภารกิจประชุม หรือต้อนรับแขกต่างบ้านต่างเมืองเท่านั้น เพราะปกติแล้ว งานด้านเอกสารต่างๆ พล.อ.ประวิตร จะดำเนินการอยู่ที่มูลนิธิป่ารอยต่อ 5 จังหวัด ภายในกรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์ (ร.1 รอ.)
**ผบ.ทบ.รับมีชื่อ "โกตี๋" อยู่ในข่ายโยงบึ้ม
ทางด้าน พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสารท ผบ.ทบ. ในฐานะเลขาธิการคสช. กล่าวว่า คดีมีความคืบหน้าพอสมควร โดยทางตำรวจได้ดำเนินการติดตามผู้ต้องสงสัย คาดว่า มีโอกาสได้ตัวในอนาคต ในส่วนคดีความเป็นหน้าที่ของตำรวจ หากรู้ตัวผู้ต้องสงสัยชัดเจนแล้ว การตัดสินใจควบคุมตัวเป็นของตำรวจตัดสินใจ ส่วนจะสามารถตามตัวผู้ก่อเหตุได้หรือไม่ต้องไปถามตำรวจ
ส่วนกรณีที่ นายกรัฐมนตรี ออกมาระบุว่า มีบุคลภายใน และนอกประเทศนั้น คิดว่าท่านกล่าวในภาพรวม ซึ่งที่ผ่านมา มีคนกลุ่มหนึ่งหลบหนีคดีในประเทศเพื่อนบ้าน และแสดงท่าทีก้าวร้าว และปลุกระดมคนให้ใช้กำลัง ส่วนบุคคลที่จะเข้ามาปฏิบัติ ยังไม่แน่ใจ ว่าเป็นกลุ่มนี้หรือไม่ แต่เป็นคนภายในประเทศ ที่อาจมีความเชื่อมโยงกับกลุ่มฮาร์ดคอร์ ที่เราเคยจับไปครั้งที่แล้ว
เมื่อถามว่า คนที่หลบหนีไปต่างประเทศ และมีพฤติกรรมดังกล่าว ใช่ นายวุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ (โกตี๋) หรือไม่ พล.อ.เฉลิมชัย กล่าวว่า ใช่ เพราะที่ผ่านมา มีการปลุกระดมผ่านโชเชียลตลอด ซึ่งเราดำเนินการ โดยอาศัยความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ แต่ตอนนี้เขาก็เงียบไป ซึ่งที่ผ่านมาเราประสานไปยังประเทศลาว เพื่อขอตัว และทางลาว กำลังดำเนินการให้
"ขณะนี้คนที่ตำรวจกำลังติดตามอยู่เป็นเพียงผู้ต้องสงสัย ของคนที่เข้าออกในโรงพยาบาล ในห้วงเวลาดังกล่าว ที่คาดว่าจะนำระเบิดไปวาง ตลอดจนนายโกตี๋ ก็เป็นเพียงผู้ต้องสงสัยในข่าย ส่วนจะมีคนมีสีเข้ามาเกี่ยวข้องหรือไม่ ผมยังตอบไม่ได้ เพราะตอนนี้เป็นผู้ต้องสงสัยหมด เราสงสัยใครก็ได้ แต่จะบอกว่าเป็นคนนั้น คนนี้ เราต้องมีหลักฐานชัดเจน เพื่อมุ่งไปตัวเขา ซึ่งการนำบุคคลต้องสงสัย แล้วมาออกสื่อ จะไม่เป็นผลบวกในเรื่องปรองดอง" ผบ.ทบ. กล่าว
** ป้อง "บิ๊กป้อม" ไม่ใช่เป้าหมายบึ้ม
ผู้สื่อข่าวถามว่า มีทหารแตงโมร่วมด้วยหรือไม่ พล.อ.เฉลิมชัย กล่าวว่า ตนไม่ทราบ และไม่กล้าวิเคราะห์ แต่อยากให้ยึดหลักฐานตามตำรวจว่า อะไรเป็นอะไร การเดาสุ่มไม่เกิดประโยชน์ ดังนั้นขอให้รอตำรวจแถลง
เมื่อถามว่า เหตุระเบิดครั้งนี้ เกี่ยวข้องกับ บีอาร์เอ็น หรือไม่ เลขาธิการ คสช. กล่าวว่า เป็นมุมวิเคราะห์ของตำรวจออกมาให้ข้อมูลการประกอบระเบิด ว่า เป็นผู้เชี่ยวชาญในภาคใต้ อาจจะมีความเป็นไปได้ กับการประกอบระเบิด ส่วนกรณีบุคคลที่มีชื่อในจดหมายข่มขู่ ได้ให้การปฏิเสธไปแล้ว ว่าไม่เกี่ยวข้อง
“เหตุระเบิดครั้งนี้ไม่เกี่ยวข้องกับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม แต่อย่างใด หากคนจะก่อกวนก็ทำได้ตลอดเวลา ทุกโอกาส อย่าไปมองเรื่องตัวบุคคล และการที่ พล.อ.ประวิตร กลับมาทำงานหลังจากลาป่วยไปนั้น ตนคิดว่าสามารถส่งผลด้านจิตใจของทีมความมั่นคง ซึ่งท่านดูแลสุขภาพช่วงเวลาสั้นๆ เท่านั้น ทราบว่าปัจจุบันท่านกลับมาทำงานแล้ว” พล.อ.เฉลิมชัย ระบุ
** แฉทหารอุ้มหายเทป CCTV กว่า 30 ชม.
มีรายงานข่าวจากชุดสืบสวนของทางตำรวจ ซึ่งได้มีการประชุมร่วมกันหลายฝ่ายตลอดทั้งวัน โดยในการประชุมได้เน้นไปที่การตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิดเพื่อติดตามหายตัวบุคคลต้องสงสัยมาสอบปากคำ โดยได้หลักฐานจากกล้องวงจรปิดของโรงพยาบาลที่สามารถใช้งานได้มาทั้งหมด 17 ตัว ประกอบไปด้วย กล้องภายในห้องวงษ์สุวรรณ ที่เกิดเหตุ บริเวณใกล้เคียง ชั้นใต้ดิน ทางเข้า-ออกอาคาร และภาพจากกล้องของอาคารอื่นข้างเคียงภายในโรงพยาบาล ซึ่งกล้องวงจรปิดภายในห้องวงษ์สุวรรณนั้น มีเพียงตัวเดียว และไม่สามารถจับภาพตอนคนร้ายนำระเบิดมาวางในจุดที่เชื่อว่าเป็นจุดเกิดเหตุระเบิดได้ เนื่องจากมุมกล้องตัวดังกล่าวหันไปที่บริเวณเคาเตอร์จ่ายยาและจ่ายเงินเพียงมุมเดียว ไม่ได้หันไปยังมุมอื่นๆ ภายในห้อง จึงได้เน้นไปที่การตรวจสอบบุคคลต้องสงสัยที่เดินทางเข้าออกอาคารในช่วงก่อนและหลังเวลาเกิดเหตุ โดยในเบื้องต้นชุดสืบสวนของตำรวจนครบาลสามารถคัดกรองบุคคลต้องสงสัยที่จะต้องติดตามตัวมาสอบสวนในฐานะผู้ต้องสงสัยประมาณ 20 คน โดยทั้งหมดยังไม่ทราบชื่อ เพียงแต่เห็นหน้าและการแต่งกายเท่านั้น ซึ่งขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการติดตามตัวและพยายามที่จะระบุตัวตนให้ได้เร็วที่สุด
ในส่วนของกล้องวงจรปิดที่ชุดสืบสวนได้มาจำนวน 17 ตัวนั้น มีรายงานด้วยว่า ชุดสืบสวนของตำรวจนครบาลและตำรวจกองปราบปรามได้รับอนุญาตจากทหารที่คุมพื้นที่ให้เข้าไปเก็บรวบรวมจากเซิร์ฟเวอร์ภายในโรงพยาบาล เมื่อช่วงเย็นของวันที่ 23 พ.ค.ที่ผ่านมา ทั้งที่เหตุระเบิดดังกล่าวเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อช่วงเวลาประมาณ 10.00 น. ของวันที่ 22 พ.ค. และกล้องวงจรปิดนับเป็นหลักฐานสำคัญที่จะต้องเร่งตรวจสอบ แต่ชุดสืบสวนกลับได้รับให้เข้าไปบันทึกเทปมาตรวจสอบหลังจากเวลาเกิดเหตุนานถึงเกือบ 30 ชั่วโมง
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ชุดสืบสวนของตำรวจนครบาลกำลังเร่งตรวจสอบอย่างละเอียด โดยประสานงานให้ชุดสืบสวนของกองปราบฯ ร่วมนำเทปไปตรวจสอบด้วยเพื่อความละเอียดของการสืบสวน ขณะเดียวกันชุดสืบสวนของนครบาลยังได้ส่งเจ้าหน้าที่ชุดหนึ่งออกหาข่าวในทางลับ เพื่อเป็นเบาะแสสนับสนุนแนวทางการสืบสวนเพื่อตามหาตัวคนร้ายต่อไป
**ลุยเช็ค “บ้านหม้อ” แหล่ง“ไอซีไทเมอร์”
รายงานข่าว แจ้งด้วยว่า ชุดสืบสวนได้ลงพื้นที่ตรวจสอบหาเบาะแสในย่านคลองถม และบ้านหม้อ ซึ่งเป็นแหล่งจำหน่ายอุปกรณ์ไฟฟ้าและชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ หลังพบข้อมูลว่าระเบิดทั้ง 3 แห่งมีการใช้ “ไอซีไทเมอร์” หรือตัวหน่วงเวลาจุดระเบิดเป็นตัวดำเนินการ ซึ่งไอซีไทเมอร์หาซื้อได้ง่ายตามแหล่งขายวัสดุอุปกรณ์ไฟฟ้า และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์
** ล็อกเป้าอดีต“3นายพล”อำนาจเก่า
มีรายงานข่าวจากแหล่งข่าวด้านความมั่นคง ระบุว่า ชุดสืบสวนยังไม่ตัดประเด็นใดทิ้งว่าเหตุระเบิดที่เกิดขึ้นเชื่อมโยงกับประเด็นอะไร และอยู่ระหว่างการจับตากลุ่มบุคคลที่นิยมความรุนแรงทางการเมือง ในแถบภาคตะวันออก ซึ่งเป็นกลุ่มบุคคลที่มีศักยภาพในการก่อเหตุในลักษณะนี้ รวมทั้งเฝ้าระวังจับตากลุ่มอดีตข้าราชการ อดีตคนมีสีที่มีความสัมพันธ์กับขั้วอำนาจเก่า โดยเฉพาะอดีตนายทหารระดับนายพล จำนวน 3 นาย.