ระบบป้องกันขีปนาวุธบนบริเวณพิกัดตำแหน่งสูงอย่างที่เรียกๆ กันว่า “THAAD” นั้น...มันคงน่าจะ “เอาเรื่อง” มิใช่น้อย ไม่งั้นประเทศอภิมหาอำนาจอย่างคุณพี่จีน คงไม่ถึงกับต้องออกมาโวยวาย ขณะที่มันถูกเข็นไปติดตั้งไว้ในเกาหลีใต้ ด้วยเหตุผล ข้ออ้าง ว่าเพื่อรับมือกับขีปนาวุธเกาหลีเหนือเป็นการเฉพาะ...
ถ้าดูจากคำให้สัมภาษณ์ของผู้เชี่ยวชาญในเรื่องราวเหล่านี้ อย่างเช่น อดีตเจ้าหน้าที่ระดับสูงของคณะกรรมาธิการข่าวกรองวุฒิสภาสหรัฐฯ “นายแองเจโล โคเดวิลลา” (Angelo Codevilla) ที่เว็บไซต์ “ผู้จัดการ” เพิ่งนำมาถ่ายทอดต่อจากสำนักข่าวเอเชียไทมส์ไปเมื่อไม่กี่วันมานี้ ไม่ว่ามันจะออกไปทาง “แมงโม้” ชนิดต้องเอา 2 หารหรือ 5 หารก็ตามที แต่ก็พอมีอะไรที่น่ารับฟังอยู่บ้าง เช่นการระบุถึงพิสัยทำการของระบบป้องกันขีปนาวุธชนิดนี้ซึ่งครอบคลุมระยะทางถึง 1,000 ไมล์ หรือกว่า 1,600 กิโลเมตร ขณะที่ขีปนาวุธเกาหลีเหนือยังไปไกลได้แค่ระดับแค่ 600 ไมล์เท่านั้น อันทำให้อิทธิฤทธิ์อิทธิเดชของ “THAAD” เลยออกจะรบกวนจิตใจคุณพี่จีน ยิ่งกว่า “คิมน้อย” ซะด้วยซ้ำ...
และแน่ล่ะว่า...ถ้าหากซาอุฯ ลงทุนเข็น “THAAD” เข้ามาติดตั้งไว้ในประเทศตัวเอง บรรดาขีปนาวุธของอิหร่านที่เพิ่งพัฒนาขึ้นมาใหม่ๆ หลังยุคสงครามอิหร่าน-อิรัก ไม่ว่าจะเป็น “Shahab-3 A/B/C” “Ghadr-110” “Fajr-3” ไปจนถึง “Emad” ที่มีพิสัยทำการตั้งแต่ 1,200-2,000 กิโลเมตร คงต้องถูกบั่นทอนศักยภาพลงไปบ้างไม่ว่ามากหรือน้อย และนั่นเท่ากับเป็นการสร้างแรงกระตุ้นให้กับอิหร่าน ต้องเร่งหาทางพัฒนาระบบขีปนาวุธของตัวเอง ให้มีประสิทธิภาพยิ่งๆ ขึ้นไป ยิ่งโดยเฉพาะเมื่อเจ้าพ่อซาอุฯ ได้เรียกระดมชาติมุสลิม (ซุนหนี่) จำนวนถึง 55 ชาติ ให้เข้ามาร่วมประกาศยืนหยัด ยืนยัน ต่อหน้า “ทรัมป์บ้า” ในเวทีประชุม “Arab-Islamic-American Summit” ว่าให้ร่วมกัน “โดดเดี่ยวอิหร่าน” โดยถือเอาซาอุฯ เป็น “หัวใจของชาติมุสลิม” ทั้งหลายภูมิภาคนี้ แถมยังพร้อมระดมกำลังทหารจัดตั้งหน่วยปฏิบัติการพิเศษ จากบรรดาชาติเหล่านี้ไม่ต่ำกว่า 34,000 คนเป็นอย่างน้อย เพื่อร่วมกับสหรัฐฯ ในการต่อสู้กับ “ผู้ก่อการร้าย” ภายในประเทศซีเรียและอิรักเป็นการเฉพาะ...
เรียกว่า...ทั้งๆ ที่ซาอุฯ นั้น ได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่สนับสนุนบรรดา “ผู้ก่อการร้าย” ทั้งหลายมาโดยตลอด ไล่มาตั้งแต่พวกมูจาฮีดีนในอัฟกานิสถานโน่นเลย ที่ค่อยๆ พัฒนาตัวเองมาเป็นพวก “อัลกออิดะห์” ก่อนแยกย้ายกลายมาเป็น “Isis-Isil-Daesh” อะไรต่อมิอะไรไปตามเรื่อง ตามราว การประกาศว่าจะต่อสู้กับพวกผู้ก่อการร้ายไม่ว่าในซีเรียหรืออิรัก ก็จึงไม่ต่างอะไรไปจากการประกาศว่าพร้อมจะ “ฉีกประเทศ” เหล่านี้ออกเป็นชิ้นๆ อย่างที่พวกไอซิสได้ “นำร่อง” มาก่อนหน้านั้นนั่นเอง เพื่อนำไปสู่การเล่นงานคู่แข่งทางอำนาจในตะวันออกกลางอย่างอิหร่านในท้ายที่สุด หรือเป็นไปในแนวเดียวกันที่รัฐมนตรีอิสราเอล “นายโยเอฟ กาแลนท์” (Yoav Galand) พันธมิตรของทั้งอเมริกาและซาอุฯ เพิ่งออกมาปลุกระดมเพื่อนร่วมชาติจนกลายเป็นข่าวคราวเผยแพร่อยู่ในหนังสือพิมพ์ “The Times of Israel” ไปเมื่อเร็วๆ นี้ ทำนองว่า ถึงเวลาแล้ว...ที่จะลอบสังหารประธานาธิบดีซีเรียอย่างอัล-อัสซาดด้วยการให้เหตุผลเอาไว้ว่า “เพราะการลอบสังหารอัสซาดก็เหมือนกับการตัดหางงู ก่อนมุ่งเข้าสู่ส่วนหัวของงูอันมีที่ตั้งอยู่ ณ กรุงเตหะราน” นั่นเอง...
การขายอาวุธล็อตอภิมโหฬารของสหรัฐฯ ให้กับซาอุฯ เที่ยวนี้ จึงถูกสรุปโดยกระทรวงต่างประเทศอิหร่าน ว่าไม่ได้ต่างอะไรไปจาก “การขายอาวุธให้กับผู้ก่อการร้ายที่สุดแสนอันตราย” นั่นเอง เพื่อให้ผู้ก่อการร้าย หรือประเทศที่สนับสนุนผู้ก่อการร้ายมาโดยตลอด กระทำการโค่นล้ม เล่นงาน ประเทศที่มีรัฐบาลมาจาก “การเลือกตั้ง” ตามกระบวนการประชาธิปไตยอย่างอิหร่าน ที่เพิ่งจะเลือกผู้ซึ่งได้ชื่อว่าเป็น “มุสลิมสายกลาง” อย่าง “ฮัสซัน โรฮานี” (Hassan Rohani) ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีอีกรอบ อีกสมัย ต่างหาก...
สรุปเอาเป็นว่า...เงินๆ ทองๆ ที่ประเทศสหรัฐฯ เพิ่งได้มาจากการขายอาวุธ 110,000 ล้านดอลลาร์ และจะได้เพิ่มอีกไม่น้อยกว่า 300,000 ล้านดอลลาร์ในอนาคตข้างหน้า ผู้คนในประเทศได้มีงานทำจากเงินลงทุนของซาอุฯ อีกเป็นหมื่นๆ ล้านดอลลาร์ รวมทั้งลูกสาวประธานาธิบดียัง “ถูกหวย” ด้วยเงินบริจาคอีกนับร้อยล้านดอลลาร์ ฯลฯ ล้วนแต่เป็น “รายได้” ที่อาศัย “สงคราม” นั่นแหละเป็นแรงกระตุ้นไปด้วยกันทั้งสิ้น ด้วยเหตุนี้...ตราบใดที่ยังมีประเทศนี้ตั้งอยู่บนโลกใบนี้ แทบไม่ต้องเสียเวลาไปตีความว่าใครคือ “ผู้ก่อการร้าย” ใครคือ “ผู้ก่อการดี” อีกต่อไปไม่ต้องเสียเวลาไปทวงถามความถูกต้อง เป็นธรรม หรือแม้กระทั่งความเป็นประชาธิปไตย-ไม่เป็นประชาธิปไตยใดๆ เอาเลยแม้แต่น้อย เอาง่ายๆ ว่า...ถ้าหากโลกนี้เกิดมี “สันติภาพ” หรือเกิดขาด “สงคราม”ขึ้นมาเมื่อไหร่ อันนั้นนั่นแหละ...อวสาน-อเมริกา ย่อมต้องมาถึงเมื่อนั้น...