"โรดริโก ดูเตอร์เต" ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ ขู่คำรามจะบังคับใช้กฎอัยการศึกทั่วประเทศ ไม่ใช่แค่บนเกาะมินดาเนา สืบเนื่องจากกลุ่มอิสลามิสต์ติดอาวุธที่ภักดีต่อ “รัฐอิสลาม” (ไอเอส) ก่อเหตุอาละวาดทั่วเมืองใหญ่ ตัดหัวนายตำรวจ และบุกเข้าโบสถ์คริสต์จับตัวประกันขู่สังหารทั้งหมดหากรัฐบาลส่งกองกำลังไล่ล่า นายกรัฐมนตรีเทเรซา เมย์ แห่งอังกฤษ ยอมรับกลุ่มหัวรุนแรงอาจลงมือโจมตีอีก ประกาศยกระดับเตือนภัยก่อการร้ายขั้้นสูงสุด และส่งทหารลงทุนพื้นที่คุ้มกันสถานที่สำคัญทั่วประเทศ
ประธานาธิบดีโรดริโก ดูเตอร์เต ของฟิลิปปินส์ ประกาศใช้กฎอัยการศึกเป็นเวลานาน 60 วันในมินดาเนา เกาะใหญ่ทางภาคใต้ที่มีประชากรราว 20 ล้านคนตั้งแต่เมื่อคืนวันอังคาร (23) หลังจากกลุ่มนักรบติดอาวุธที่ประกาศสวามิภักดิ์ต่อไอเอส ออกก่อเหตุโจมตีครั้งใหญ่ในวันเดียวกัน
ตามคำแถลงของดูเตอร์เตและพวกผู้ช่วยของเขา พวกนักรบติดอาวุธราว 100 คนได้ออกอาละวาดไปทั่วเมืองมาราวี ซึ่งมีประชากรราว 200,000 คนส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิม โดยได้จับบาทหลวงคนหนึ่งและบุคคลอื่นๆ ที่ไม่มีการระบุจำนวนจากโบสถ์คาทอลิกแห่งหนึ่งไปเป็นตัวประกัน พวกเขาได้จุดไฟเผาอาคารหลายหลัง และชักธงดำของไอเอสด้วย
ดูเตอร์เตกล่าวว่า นักรบติดอาวุธเหล่านี้ยังได้ตัดศีรษะผู้บังคับบัญชาตำรวจในท้องถิ่นคนหนึ่ง หลังจากจับตัวเขาได้ที่ด่านตรวจซึ่งพวกเขาจัดตั้งขึ้นมาบนถนสายหนึ่ง ทั้งนี้ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์แสดงความเดือดแค้นต่อสิ่งที่เขาระบุว่าเป็นภัยคุกคามที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จากพวกนักรบหัวรุนแรงในมินดาเนาซึ่งประกาศตนเป็นพันธมิตรและสวามิภักดิ์ต่อไอเอส
“ผมจะไม่ลังเลเลยที่จะทำอะไรทุกๆ อย่างเพื่อเป็นการปกป้องคุ้มครองและปกปักรักษาประเทศชาติของชาวฟิลิปปินส์” ดูเตอร์เตกล่าว “ผมอาจจะประกาศใช้กฎอัยการศึกให้ครอบคลุมทั่วทั้งประเทศเลยเพื่อปกป้องคุ้มครองประชาชน”
ก่อนหน้านี้มีรายงานข่าวระบุว่า เจ้าหน้าที่กองกำลังความมั่นคงซึ่งปะทะกับพวกนักรบติดอาวุธที่เมืองมาราวี ในวันอังคาร (24) ได้เสียชีวิตไปอย่างน้อย 3 คน และมีผู้บาดเจ็บอีก 12 คน ขณะที่ อาร์คบิชอป โซกราเตส วิลเลกัส ประธานสมาคมบาทหลวงคาทอลิกแห่งฟิลิปปินส์ ออกคำแถลงในวันพุธ (24) ระบุว่า สมาชิกกลุ่มมาอูเตได้บุกเข้าไปในโบสถ์ท้องถิ่นแห่งหนึ่งทางใต้ของประเทศ และจับผู้ที่อยู่ในโบสถ์ทั้งหมด ซึ่งรวมถึงบาทหลวงคนหนึ่งเป็นตัวประกัน พร้อมขู่ฆ่าตัวประกันทั้งหมด หากกองกำลังของรัฐบาลยังไม่ยุติการไล่ล่าพวกตน
“พี่น้องชาวฟิลิปปินส์อย่ากลัวกันเกินไป” ดูเตอร์เตแถลงจากกรุงมอสโก เมืองหลวงของรัสเซีย ซึ่งเขาเพิ่งเริ่มต้นการเยือนอย่างเป็นทางการ แต่ต้องตัดกำหนดการให้สั้นลงและรีบบินกลับประเทศเพื่อจัดการกับวิกฤตในมินดาเนา
อย่างไรก็ดี ก่อนที่เขาจะกลับบ้าน ดูเตอร์เตได้มีโอกาสหารือกับประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ของติน ในคืนวันอังคาร (24) ร่นเข้ามาจากกำหนดการเดิมที่ผู้นำทั้งสองจะพบปะกันในวันศุกร์ (26) ทั้งนี้ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ยังคงเน้นย้ำตั้งความหวังว่า รัสเซียจะช่วยเหลือจัดหาอาวุธทันสมัยเพื่อให้ฟิลิปปินส์ต่อสู้กับกลุ่มก่อการร้าย
ดูเตอร์เตซึ่งทำสงครามปราบปรามยาเสพติดอย่างรุนแรงจนทำให้มีผู้เสียชีวิตไปหลายพันคนและก่อให้เกิดการโต้เถียงกันมาก กล่าวเตือนว่า กฎอัยการศึกที่นำจะนำมาใช้นี้ จะ “ไร้ความปราณี” ทำนองการใช้กฎอัยการศึกในยุคสมัยของเฟอร์ดินันด์ มาร์กอส ผู้นำเผด็จการที่ปกครองฟิลิปปินส์นานถึง 2 ทศวรรษก่อนถูก “พลังประชาชน” โค่นล้มในปี 1986
“กฎอัยการศึกของมิสเตอร์มาร์กอสนั้นดีมาก” ดูเตอร์เตกล่าว
ขณะที่พูดถึงกฎอัยการศึกเวอร์ชั่นของเขาเองว่า หมายถึงกองกำลังความมั่นคงสามารถที่จะเข้าตรวจคนและจับกุมประชาชนได้โดยไม่ต้องมีหมาจับ
เขาบอกด้วยว่า จะมีการประกาศเคอร์ฟิวส์ หรือการห้ามประชาชนออกนอกบ้านในบางช่วงเวลา ในบางจังหวัดของเกาะมินดาเนา ขณะที่ดูเตอร์เตกล่าวไว้ในคลิปวิดีโอซึ่งเผยแพร่ทางออนไลน์โดยรัฐบาลว่า อาจขยายเวลาใช้กฎอัยการศึกในมินดาเนาออกไปเป็น 1 ปีหากจำเป็น
รัฐธรรมนูญฟิลิปปินส์ฉบับปัจจุบันระบุว่า ประธานาธิบดีสามารถประกาศใช้กฎอัยการศึกได้ไม่เกิน 60 วันเพื่อหยุดยั้งการรุกรานของต่างชาติ หรือเพื่อปราบปรามการก่อกบฏ แต่รัฐสภามีอำนาจที่จะยกเลิกมาตรการเช่นนี้ได้ภายในเวลา 48 ชั่วโมง ขณะเดียวกันศาลสูงสุดก็สามารถพิจารณาวินิจฉัยว่าการประกาศใช้นี้ถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่
*** อังกฤษยกระดับเตือนภัยขั้นสูงสุด
จากเหตุการณ์มือระเบิดฆ่าตัวตายกลางงานแสดงคอนเสิร์ตในเมืองแมนเชสเตอร์ ของนักร้องสาวอเมริกัน อเรียนา แกรนเด ที่มีผู้เข้าชมแน่นขนัด สังหารผลาญชีวิตผู้คนไปอย่างน้อย 22 ราย และบาดเจ็บอีก 59 ราย หนึ่งในนั้นเป็นเด็กหญิงอายุเพียงแค่ 8 ขวบ ทำให้คนทั่วโลกออกมาประณามเหตุดังกล่าว
เมื่อค่ำของวันที่ 23 พ.ค. นายกรัฐมนตรีเทเรซา เมย์ แห่งอังกฤษยอมรับว่า มีความเป็นไปได้สูงที่พวกอิสลามิสต์หัวรุนแรงจะลงมือโจมตีอังกฤษอีก และอาจมีกลุ่มบุคคลหลายคนเกี่ยวข้องกับเหตุระเบิดที่แมนเชสเตอร์ พร้อมกันนี้รัฐบาลได้ยกระดับการเตือนภัยจาก “ร้ายแรง” (severe) ไปสู่ขั้น “วิกฤต” (critical) ตามคำแนะนำของหน่วยข่าวกรอง และอนุมัติแผนปฏิบัติการให้ฝ่ายทหารสนธิกำลังช่วยเหลือตำรวจในยามฉุกเฉิน ซึ่งเป็นการเตือนภัยก่อการร้ายในประเทศให้อยู่ในระดับสูงสุด นับเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2007 ที่เคยเกิดเหตุโจมตีสนามบินกลาสโกว์
คำแถลงจากผู้นำอังกฤษมีขึ้น หลังจากตำรวจออกมาเปิดเผยว่ามือระเบิดฆ่าตัวตายที่โจมตีงานคอนเสิร์ตนักร้องสาวชาวอเมริกัน อเรียนา แกรนเด เมื่อค่ำวันจันทร์ (22) คือ ซัลมาน อาเบดี ชาวอังกฤษเชื้อสายลิเบียวัย 22 ปี โดยกลุ่มติดอาวุธรัฐอิสลาม (ไอเอส) ได้ออกมาประกาศอ้างความรับผิดชอบต่อเหตุสังหารหมู่ครั้งนี้
สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งอังกฤษ ทรงมีพระราชดำรัสประณามเหตุโจมตีที่แมนเชสเตอร์ว่าเป็น “การกระทำอันป่าเถื่อน” และทรงยืนสงบนิ่งไว้อาลัยแก่ผู้เสียชีวิตเป็นเวลา 1 นาทีที่พระราชวังบักกิงแฮม
ทหารได้กระจายกำลังกันไปประจำตามพื้นที่สำคัญต่างๆ อาทิ พระราชวังบักกิ้งแฮม , เวสมินสเตอร์ , สถานทูตของประเทศต่างๆ ในกรุงลอนดอน , เพื่อให้ตำรวจติดอาวุธได้มีเวลาไปปฏิบัติหน้าที่ต่อต้านก่อการร้าย
เมย์บอกว่า การก่อเหตุโจมตีรอบใหม่อาจจะเกิดขึ้นได้อีกทุกเมื่อ พร้อมทั้งเน้นย้ำว่า ทหารควรจะยังคงอยู่ภายใต้คำสั่งของตำรวจ
*** เชื่อมือระเบิดไม่ได้ทำงานลำพัง
แอมเบอร์ รุดด์ รัฐมนตรีมหาดไทยอังกฤษ ระบุว่า "ซัลมาน อาเบดี" คนร้ายวัย 22 ปีรายนี้เคยถูกจับตาจากหน่วยงานข่าวกรอง ซึ่งเจ้าหน้าที่สืบสวนกำลังพยายามปะติดปะต่อความเคลื่อนไหวล่าสุดของอาเบดีเข้าด้วยกัน
หลังจากที่มีการจับกุมชายวัย 23 ปีในวันอังคาร ตำรวจก็เปิดเผยว่า พวกเขายังได้จับกุมชายอีก 3 คนในวันพุธ ในพื้นที่ทางใต้ของเมืองแมนเชสเตอร์ ซึ่งเป็นบริเวณที่อาเบดีอาศัยอยู่
รุดด์ปฏิเสธที่จะให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับอาเบดี แต่เขาได้บอกกับสถานีวิทยุ "บีบีซี เรดิโอ" เอาไว้ว่า มันมีความซับซ้อนมากกว่าการก่อเหตุโจมตีที่เราเคยพบมา และดูเหมือนจะมีความเป็นไปได้ที่คนร้ายจะไม่ได้ทำมันทั้งหมดนี้ด้วยตัวเองคนเดียว
***สถานทูตฯเตือนคนไทยระวังตัว
สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ออกประกาศเตือนคนไทย หลังทางการอังกฤษได้ปรับระดับการเตือนภัยขึ้นสู่ระดับสูงสุดว่า ขอให้คนไทยที่อยู่ในสหราชอาณาจักร เพิ่มความระมัดระวังในการเดินทางสัญจรและการเดินทางไปยังพื้นที่สาธารณะ โดยขอให้ติดตามข่าวสารและขอให้ปฏิบัติตามคำแนะนำของทางการ รวมถึงผู้ที่จะเดินทางไปยังสหราชอาณาจักรในช่วงนี้ด้วย
ประธานาธิบดีโรดริโก ดูเตอร์เต ของฟิลิปปินส์ ประกาศใช้กฎอัยการศึกเป็นเวลานาน 60 วันในมินดาเนา เกาะใหญ่ทางภาคใต้ที่มีประชากรราว 20 ล้านคนตั้งแต่เมื่อคืนวันอังคาร (23) หลังจากกลุ่มนักรบติดอาวุธที่ประกาศสวามิภักดิ์ต่อไอเอส ออกก่อเหตุโจมตีครั้งใหญ่ในวันเดียวกัน
ตามคำแถลงของดูเตอร์เตและพวกผู้ช่วยของเขา พวกนักรบติดอาวุธราว 100 คนได้ออกอาละวาดไปทั่วเมืองมาราวี ซึ่งมีประชากรราว 200,000 คนส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิม โดยได้จับบาทหลวงคนหนึ่งและบุคคลอื่นๆ ที่ไม่มีการระบุจำนวนจากโบสถ์คาทอลิกแห่งหนึ่งไปเป็นตัวประกัน พวกเขาได้จุดไฟเผาอาคารหลายหลัง และชักธงดำของไอเอสด้วย
ดูเตอร์เตกล่าวว่า นักรบติดอาวุธเหล่านี้ยังได้ตัดศีรษะผู้บังคับบัญชาตำรวจในท้องถิ่นคนหนึ่ง หลังจากจับตัวเขาได้ที่ด่านตรวจซึ่งพวกเขาจัดตั้งขึ้นมาบนถนสายหนึ่ง ทั้งนี้ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์แสดงความเดือดแค้นต่อสิ่งที่เขาระบุว่าเป็นภัยคุกคามที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จากพวกนักรบหัวรุนแรงในมินดาเนาซึ่งประกาศตนเป็นพันธมิตรและสวามิภักดิ์ต่อไอเอส
“ผมจะไม่ลังเลเลยที่จะทำอะไรทุกๆ อย่างเพื่อเป็นการปกป้องคุ้มครองและปกปักรักษาประเทศชาติของชาวฟิลิปปินส์” ดูเตอร์เตกล่าว “ผมอาจจะประกาศใช้กฎอัยการศึกให้ครอบคลุมทั่วทั้งประเทศเลยเพื่อปกป้องคุ้มครองประชาชน”
ก่อนหน้านี้มีรายงานข่าวระบุว่า เจ้าหน้าที่กองกำลังความมั่นคงซึ่งปะทะกับพวกนักรบติดอาวุธที่เมืองมาราวี ในวันอังคาร (24) ได้เสียชีวิตไปอย่างน้อย 3 คน และมีผู้บาดเจ็บอีก 12 คน ขณะที่ อาร์คบิชอป โซกราเตส วิลเลกัส ประธานสมาคมบาทหลวงคาทอลิกแห่งฟิลิปปินส์ ออกคำแถลงในวันพุธ (24) ระบุว่า สมาชิกกลุ่มมาอูเตได้บุกเข้าไปในโบสถ์ท้องถิ่นแห่งหนึ่งทางใต้ของประเทศ และจับผู้ที่อยู่ในโบสถ์ทั้งหมด ซึ่งรวมถึงบาทหลวงคนหนึ่งเป็นตัวประกัน พร้อมขู่ฆ่าตัวประกันทั้งหมด หากกองกำลังของรัฐบาลยังไม่ยุติการไล่ล่าพวกตน
“พี่น้องชาวฟิลิปปินส์อย่ากลัวกันเกินไป” ดูเตอร์เตแถลงจากกรุงมอสโก เมืองหลวงของรัสเซีย ซึ่งเขาเพิ่งเริ่มต้นการเยือนอย่างเป็นทางการ แต่ต้องตัดกำหนดการให้สั้นลงและรีบบินกลับประเทศเพื่อจัดการกับวิกฤตในมินดาเนา
อย่างไรก็ดี ก่อนที่เขาจะกลับบ้าน ดูเตอร์เตได้มีโอกาสหารือกับประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ของติน ในคืนวันอังคาร (24) ร่นเข้ามาจากกำหนดการเดิมที่ผู้นำทั้งสองจะพบปะกันในวันศุกร์ (26) ทั้งนี้ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ยังคงเน้นย้ำตั้งความหวังว่า รัสเซียจะช่วยเหลือจัดหาอาวุธทันสมัยเพื่อให้ฟิลิปปินส์ต่อสู้กับกลุ่มก่อการร้าย
ดูเตอร์เตซึ่งทำสงครามปราบปรามยาเสพติดอย่างรุนแรงจนทำให้มีผู้เสียชีวิตไปหลายพันคนและก่อให้เกิดการโต้เถียงกันมาก กล่าวเตือนว่า กฎอัยการศึกที่นำจะนำมาใช้นี้ จะ “ไร้ความปราณี” ทำนองการใช้กฎอัยการศึกในยุคสมัยของเฟอร์ดินันด์ มาร์กอส ผู้นำเผด็จการที่ปกครองฟิลิปปินส์นานถึง 2 ทศวรรษก่อนถูก “พลังประชาชน” โค่นล้มในปี 1986
“กฎอัยการศึกของมิสเตอร์มาร์กอสนั้นดีมาก” ดูเตอร์เตกล่าว
ขณะที่พูดถึงกฎอัยการศึกเวอร์ชั่นของเขาเองว่า หมายถึงกองกำลังความมั่นคงสามารถที่จะเข้าตรวจคนและจับกุมประชาชนได้โดยไม่ต้องมีหมาจับ
เขาบอกด้วยว่า จะมีการประกาศเคอร์ฟิวส์ หรือการห้ามประชาชนออกนอกบ้านในบางช่วงเวลา ในบางจังหวัดของเกาะมินดาเนา ขณะที่ดูเตอร์เตกล่าวไว้ในคลิปวิดีโอซึ่งเผยแพร่ทางออนไลน์โดยรัฐบาลว่า อาจขยายเวลาใช้กฎอัยการศึกในมินดาเนาออกไปเป็น 1 ปีหากจำเป็น
รัฐธรรมนูญฟิลิปปินส์ฉบับปัจจุบันระบุว่า ประธานาธิบดีสามารถประกาศใช้กฎอัยการศึกได้ไม่เกิน 60 วันเพื่อหยุดยั้งการรุกรานของต่างชาติ หรือเพื่อปราบปรามการก่อกบฏ แต่รัฐสภามีอำนาจที่จะยกเลิกมาตรการเช่นนี้ได้ภายในเวลา 48 ชั่วโมง ขณะเดียวกันศาลสูงสุดก็สามารถพิจารณาวินิจฉัยว่าการประกาศใช้นี้ถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่
*** อังกฤษยกระดับเตือนภัยขั้นสูงสุด
จากเหตุการณ์มือระเบิดฆ่าตัวตายกลางงานแสดงคอนเสิร์ตในเมืองแมนเชสเตอร์ ของนักร้องสาวอเมริกัน อเรียนา แกรนเด ที่มีผู้เข้าชมแน่นขนัด สังหารผลาญชีวิตผู้คนไปอย่างน้อย 22 ราย และบาดเจ็บอีก 59 ราย หนึ่งในนั้นเป็นเด็กหญิงอายุเพียงแค่ 8 ขวบ ทำให้คนทั่วโลกออกมาประณามเหตุดังกล่าว
เมื่อค่ำของวันที่ 23 พ.ค. นายกรัฐมนตรีเทเรซา เมย์ แห่งอังกฤษยอมรับว่า มีความเป็นไปได้สูงที่พวกอิสลามิสต์หัวรุนแรงจะลงมือโจมตีอังกฤษอีก และอาจมีกลุ่มบุคคลหลายคนเกี่ยวข้องกับเหตุระเบิดที่แมนเชสเตอร์ พร้อมกันนี้รัฐบาลได้ยกระดับการเตือนภัยจาก “ร้ายแรง” (severe) ไปสู่ขั้น “วิกฤต” (critical) ตามคำแนะนำของหน่วยข่าวกรอง และอนุมัติแผนปฏิบัติการให้ฝ่ายทหารสนธิกำลังช่วยเหลือตำรวจในยามฉุกเฉิน ซึ่งเป็นการเตือนภัยก่อการร้ายในประเทศให้อยู่ในระดับสูงสุด นับเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2007 ที่เคยเกิดเหตุโจมตีสนามบินกลาสโกว์
คำแถลงจากผู้นำอังกฤษมีขึ้น หลังจากตำรวจออกมาเปิดเผยว่ามือระเบิดฆ่าตัวตายที่โจมตีงานคอนเสิร์ตนักร้องสาวชาวอเมริกัน อเรียนา แกรนเด เมื่อค่ำวันจันทร์ (22) คือ ซัลมาน อาเบดี ชาวอังกฤษเชื้อสายลิเบียวัย 22 ปี โดยกลุ่มติดอาวุธรัฐอิสลาม (ไอเอส) ได้ออกมาประกาศอ้างความรับผิดชอบต่อเหตุสังหารหมู่ครั้งนี้
สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งอังกฤษ ทรงมีพระราชดำรัสประณามเหตุโจมตีที่แมนเชสเตอร์ว่าเป็น “การกระทำอันป่าเถื่อน” และทรงยืนสงบนิ่งไว้อาลัยแก่ผู้เสียชีวิตเป็นเวลา 1 นาทีที่พระราชวังบักกิงแฮม
ทหารได้กระจายกำลังกันไปประจำตามพื้นที่สำคัญต่างๆ อาทิ พระราชวังบักกิ้งแฮม , เวสมินสเตอร์ , สถานทูตของประเทศต่างๆ ในกรุงลอนดอน , เพื่อให้ตำรวจติดอาวุธได้มีเวลาไปปฏิบัติหน้าที่ต่อต้านก่อการร้าย
เมย์บอกว่า การก่อเหตุโจมตีรอบใหม่อาจจะเกิดขึ้นได้อีกทุกเมื่อ พร้อมทั้งเน้นย้ำว่า ทหารควรจะยังคงอยู่ภายใต้คำสั่งของตำรวจ
*** เชื่อมือระเบิดไม่ได้ทำงานลำพัง
แอมเบอร์ รุดด์ รัฐมนตรีมหาดไทยอังกฤษ ระบุว่า "ซัลมาน อาเบดี" คนร้ายวัย 22 ปีรายนี้เคยถูกจับตาจากหน่วยงานข่าวกรอง ซึ่งเจ้าหน้าที่สืบสวนกำลังพยายามปะติดปะต่อความเคลื่อนไหวล่าสุดของอาเบดีเข้าด้วยกัน
หลังจากที่มีการจับกุมชายวัย 23 ปีในวันอังคาร ตำรวจก็เปิดเผยว่า พวกเขายังได้จับกุมชายอีก 3 คนในวันพุธ ในพื้นที่ทางใต้ของเมืองแมนเชสเตอร์ ซึ่งเป็นบริเวณที่อาเบดีอาศัยอยู่
รุดด์ปฏิเสธที่จะให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับอาเบดี แต่เขาได้บอกกับสถานีวิทยุ "บีบีซี เรดิโอ" เอาไว้ว่า มันมีความซับซ้อนมากกว่าการก่อเหตุโจมตีที่เราเคยพบมา และดูเหมือนจะมีความเป็นไปได้ที่คนร้ายจะไม่ได้ทำมันทั้งหมดนี้ด้วยตัวเองคนเดียว
***สถานทูตฯเตือนคนไทยระวังตัว
สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ออกประกาศเตือนคนไทย หลังทางการอังกฤษได้ปรับระดับการเตือนภัยขึ้นสู่ระดับสูงสุดว่า ขอให้คนไทยที่อยู่ในสหราชอาณาจักร เพิ่มความระมัดระวังในการเดินทางสัญจรและการเดินทางไปยังพื้นที่สาธารณะ โดยขอให้ติดตามข่าวสารและขอให้ปฏิบัติตามคำแนะนำของทางการ รวมถึงผู้ที่จะเดินทางไปยังสหราชอาณาจักรในช่วงนี้ด้วย