ข่าวปนคน คนปนข่าว
** จับตา“บิ๊กป้อม”รีเทิร์น ในสถานการณ์เกินเยียวยา
ล้อมคอกกันเข้าไป.. ผลพวงเหตุลอบวางระเบิดใน“โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า”ทำเอาหน่วยงานด้านความมั่นคง ยกระดับการรักษาความปลอดภัยสถานที่ต่างๆ เหมือน “ลูปเดิมๆ”เวลาเกิดเหตุร้ายครั้งใหญ่ๆ ... ที่ผู้คนสงสัยก็ข้อบกพร่อง“ด้านการข่าว”ที่ฝ่ายรัฐไม่ระแคะระคายก่อนเกิดเหตุบ้างเลยหรือ ยิ่งประจานความไม่เอาอ่าวของ“งานด้านความมั่นคง”ไล่ตั้งแต่ปลายด้ามขวาน จนมาถึงใจกลางเมือง-เขตนครบาล ... ยิ่ง 3 จุด ที่มีเหตุระเบิดล่าสุดในกทม. “กองสลากเก่า” ก็บน ถ.ราชดำเนิน “โรงละครแห่งชาติ”ก็ขอบรั้วชิดสนามหลวง “รพ.พระมงกุฎฯ”ก็อยู่ ถ.ราชวิถี ล้วนแต่เป็น“พื้นที่สำคัญ”ที่ไม่น่าปล่อยให้เกิดเหตุใกล้เคียงวินาศกรรมเช่นนี้ได้ ... เมื่อถูกตัดสินว่างานด้านการข่าว-ด้านความมั่นคงของรัฐบาล คสช. ห่วยเหลือเกิน
ยิ่งเมื่อวานนี้ (24 พ.ค.) ที่ศาลทหารกรุงเทพ มีคำสั่ง “ไม่ฟ้องคดี”ผู้ต้องหา 17 คน ซึ่งเคยถูกจับ และกล่าวหาว่าเป็น“แนวร่วมขบวนการใต้ดิน” หลังจากเหตุวินาศกรรมหลายจุดในพื้นที่ 7 จังหวัดภาคใต้ เมื่อเดือน ส.ค.59 ก็ยิ่งเป็นข้อยืนยันถึง“ความมั่วซั่ว-สะเปะสะปะ”ของงานด้านความมั่นคงอย่างชัดเจน ... ตัดกลับมาที่เหตุระเบิด รพ.พระมงกุฎฯ พอมีคำถามเรื่องการข่าว หรือการเตรียมพร้อมรับสถานการณ์ ก็มีข่าวออกมาจาก“แหล่งข่าวตำรวจ”ทันทีว่า เมื่อวันที่ 19 พ.ค. (ก่อนวันเกิดเหตุ 3 วัน) มีจดหมายถึงผู้อำนวยการสถาบันมะเร็งแห่งชาติ ถ.พระราม 6 อ้างว่าเป็นคำเตือนจาก“ขบวนการ BRN IS”ระบุว่า ภายในปีนี้ จะมีก่อการร้ายภายใน“โรงพยาบาลของรัฐแถวนี้ 3 แห่ง” ก่อนที่“บิ๊กปู”พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รอง ผบ.ตร. ด้านความมั่นคง จะออกมารับลูก บอกว่า“จดหมายลึกลับ”มีจริง แต่เจ้าหน้าที่ไม่ให้น้ำหนัก มีเพียงไปเฝ้าระวังที่ รพ.อื่น ทั้ง“รพ.พระมงกุฎฯ”กับ“ส.มะเร็งแห่งชาติ”น่าจะถือว่าอยู่ในละแวกเดียวกัน ... เอากับเขาสิ
รอดูวันนี้ (25 พ.ค.) ที่มีข่าวว่า “บิ๊กป้อม”พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ความมั่นคง ที่ช่วง3-4 วันมานี้ มีข่าวไม่สู้ดีนัก ล้มป่วยค่อนข้างหนัก ต้องไปรักษาตัวเมืองนอก จะกลับเข้าประจำการทำงานตามปกติ ... การคลี่คลายเหตุระเบิด รพ.พระมงกุฎฯ รวมทั้งการเผ้าระวังป้องกันเหตุที่อาจจะเกิดขึ้นอีก จะเป็นบทพิสูจน์น้ำยาของ“กระบี่มือหนึ่งงานความมั่นคง”ที่ 3 ปีมานี้ ผลงานด้านความมั่นคง หรือผลประโยชน์ต่อส่วนรวม“สอบตก”แบบหมดสิทธิ์อุทธรณ์
** ปลัดใหม่ ยธ.“วิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ”เส้นทางไม่ธรรมดา
แหกโค้งไปก่อนใครเพื่อน "ชาญเชาวน์ ไชยานุกิจ" ที่ถูกเด้งดึ๋งจาก ปลัดกระทรวงยุติธรรม ไปนั่งตบยุงเป็น ผู้ตรวจการพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แล้วดึง “วิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ” อธิบดีกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน ขึ้นมาเป็นปลัดฯแทน ... ท่ามกลางกระแสข่าวที่หลายกระทรวงเตรียมเปลี่ยนแปลงข้าราชการระดับสูง อย่างที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ “ดร.ฝน”ธีรภัทร ประยูรสิทธิ ก็มีข่าวว่ากำลังจะเซย์กูดบายจากตำแหน่งหลังวันพืชมงคล แต่ก็ยังเหนียวแน่นหนึบอยู่ ...
ฟ้าดันมาผ่าเปรี้ยงที่ “ชาญเชาวน์”อดีตข้าราชการดาวรุ่งพุ่งแรงแห่งยุค ที่เคยต้องซอยเท้ารอขึ้นชั้นเบอร์ 1 กระทรวงตราชั่ง อยู่นานสองนาน จนได้มาลืมตาอ้าปากในยุคคสช. ก่อนจะโดนคสช.สอยร่วง ด้วยข้ออ้างที่สุดแสนจะดูดีว่า“นายกฯตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ถูกใจในความสามารถ เลยขอตัวมาช่วยงานการปฏิรูปกฎหมาย กระบวนการยุติธรรม รวมถึงการปฏิรูปตำรวจ ฟังแล้วก็ได้แต่หัวเราะหึๆ โธ่ถังกะละมังหม้อ งานที่อ้างๆ มานั่งคร่อมเป็นปลัดกระทรวงก็ทำได้ขณะที่เจ้าตัวเองที่คงช๊อกไม่น้อย เมื่อถูกปลดกลางอากาศ ในขณะติดพันภารกิจอยู่ที่ประเทศออสเตรีย เดาว่างานนี้ไม่จบง่ายๆ จากที่ได้ฟังสุ้มเสียงผ่านคนใกล้ชิด น่าจะมีงานเอาคืน เรียกร้องความเป็นธรรมให้ตัวเองตามมา รอเพียงคลื่นลมสงบซักนิด ... อย่าลืมว่าการย้าย “ชาญเชาวน์”ครั้งนี้ใช้เพียง “มติครม.” ไม่ได้ใช้ “มาตรา 44”เหมือนกรณีอื่นก่อนหน้าที่จะมีรัฐธรรมนูญใหม่ ... เห็นมีการวิเคราะห์ต่างๆ นานา ถึงตื้นลึกหนาบางการปลด“ปลัดยุติธรรม” บ้างก็ว่าเป็นเพราะเคยต้องคดี-มีโทษร่วมกับ"ธาริต เพ็งดิษฐ์" เกี่ยวกับการแต่งตั้งภายในดีเอสไอ แต่โทษก็แค่ให้รอลงอาญา ถ้าเอากันเรื่องนี้จริง คงปลดนานแล้ว ... และ วิษณุ เครืองาม รองนายกฯฝ่ายกฎหมาย ก็ยืนยันว่าไม่เกี่ยวข้อง ความผิดแค่รอลงอาญา ไม่ถือเป็นความบกพร่องในการปฏิบัติหน้าที่ …
ที่น่าจะพอฟังได้ คงเป็นเรื่องปัญหาการทำงานที่เป็น“ข้าราชการสายแข็ง”ไม่ค่อยยอมใคร นี่ต่างหากที่ทำให้โดนเขี่ยพ้นทาง ... เรื่องปลดก็เรื่องหนึ่ง เรื่องคนมาแทนนี่ก็น่าสนใจไม่น้อย ไล่เรียงประวัติ “ปลัดวิศิษฏ์”ที่แม้เป็นอาวุโสอันดับ 1 ก็จริง แต่เส้นทางไม่ธรรมดา โดยเฉพาะการเติบโตในยุค สมชาย วงศ์สวัสดิ์ - ชัยเกษม นิติสิริ เป็นเจ้ากระทรวงยุติธรรม ...ในขณะที่คสช.ใช้กระทรวงยุติธรรม เป็นหัวหอกในภารกิจหลายๆ เรื่อง ระวังจะเข้าทำนอง“ไส้ศึกหนึ่งคน มีค่ามากกว่า กำลังพลนับแสน”หนึ่งในวรรคทองจากมหากาพย์สามก๊ก นะท่านนะ
** ทลายอาณาจักร“นิชคาร์”มุ่งปราบธุรกิจสีเทาหรือเกมผลประโยชน์
ตกเป็นข่าวใหญ่เมื่อสัปดาห์ก่อน เมื่อเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ปฏิบัติการจู่โจมตรวจค้นโชว์รูมเครือ "นิชคาร์กรุ๊ป" ที่มี“เหตุอันควรสงสัย”ว่าเป็นขบวนการนำเข้า “รถหรู-ซูเปอร์คาร์เลี่ยงภาษี”ก่อนจะอายัดรถยนต์ยี่ห้อดัง มูลค่าคันละหลายล้านไว้ถึง 122 คัน ... ให้หลังหนึ่งวัน มีการแถลงข่าวเรื่องนี้โดยพ.ต.อ ดุษฎี อารยวุฒิ รองปลัดยุติธรรม พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดี ดีเอสไอ ชำแหละขบวนการเลี่ยงภาษีไว้อย่างไม่มีชิ้นดี เฉพาะที่อายัดไว้ทำให้รัฐเสียหายจากการเก็บภาษีไม่น้อยกว่า 2.4 พันล้านบาท ด้วย“ทริคเดิมๆ”ในวงการ“เกรย์มาร์เก็ต”ที่มักมีพฤติกรรม “สำแดงราคาเท็จ”ต่ำกว่าความเป็นจริงมาก แต่ก็มักผ่าน“พิธีการศุลกากร”อยู่ร่ำไปเช่นกัน …ซึ่งจริงๆไม่กี่ปีก่อนก็มีการระดมกวาดล้าง“ตลาดรถเกรย์มาร์เก็ต”ครั้งใหญ่ไปแล้ว ทาง ดีเอสไอ เองก็ได้ส่งเรื่องไปที่ สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) และอยู่ระหว่างการตรวจสอบ“ข้าราชการระดับสูงของกรมศุลกากร”หลายราย
ขณะที่ บริษัท นิชคาร์ จำกัด ก็คือ 1 ใน 2 บริษัท ที่ถูกตรวจสอบอยู่ ขณะที่อีกแห่งคือ บริษัท จูบิไลน์ จำกัด ก็อยู่ในเครือ "นิชคาร์กรุ๊ป" ที่วงการไฮโซ-ไฮซ้อ รู้จักกันดีว่าเป็นของ เสรี รักษ์วิทย์ เจ้าพ่อซูเปอร์คาร์เมืองไทย ที่เพิ่งเปลี่ยนมาใช้นามสกุล “ชินบารมี”ได้ไม่นาน ปัจจุบันโดดขึ้นไปนั่งเป็นประธานที่ปรึกษา ส่งต่อกิจการให้ทายาทอย่าง "แชมป์-วิทวัส ชินบารมี" ออกหน้าบริหารงานแทน ... แต่ที่น่าสนใจคือ หุ้นบริษัทในเครือ "นิชคาร์กรุ๊ป" ของ “2พ่อลูกชินบารมี”นั้น ยังมีอยู่ในบริษัทใหญ่คือ“บริษัท นิชคาร์ กรุ๊ป จำกัด”ขณะที่ในบริษัทลูก มีการผ่องถ่ายออกไปอย่างมีนัยยะสำคัญ โดยใน บจ.จูบิไลน์ “แชมป์-วิทวัส”ยังมีชื่อถือหุ้นใหญ่อยู่ แต่ในส่วน บจ.นิชคาร์ ได้ถอนหุ้นออกจนเกลี้ยง ตั้งแต่ปี 2558 มีชื่อ น.ส.ศิริพรรณ บุญประกอบ ที่ถือหุ้นอยู่ถึง 99.9 % แต่ “แชมป์-วิทวัส”ก็ยังออกหน้าในฐานะเจ้าของ-ผู้บริหาร มาจนถึงตอนนี้
น่าสนใจอีกว่าในระหว่างที่มีการตรวจสอบจาก สตง.อยู่นั้น กิจการของ"นิชคาร์กรุ๊ป" กลับทะยานติดลมบนต่อเนื่อง ทั้งการประกาศเป็นเจ้าของโชว์รูมซูเปอร์คาร์-สปอร์ตคาร์ ที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน รวมทั้งยังได้ถือสิทธิ์ตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทยของ 2 แบรนด์ยักษ์ใหญ่ ทั้ง “Lamborghini – McLaren”อย่างต่อเนื่อง และตลกร้ายที่ว่า รถส่วนใหญ่ที่ถูกอายัดงวดนี้เป็น Lamborghiniเสียด้วย ... ความยิ่งใหญ่ของ “นิชคาร์”ส่งผลให้เศรษฐีกระเป๋าหนักเมืองไทยแทบทุกราย ต้องเคยมาเป็นลูกค้า ทำให้มียอดรายได้สะพัดปีละเป็น“พันๆล้าน”แต่สวนทางกับ“กำไรสุทธิ”ที่แจ้งไว้ในแต่ละบริษัท แค่ปีละ 1-2 ล้านบาท
การอยู่ยั้งยืนยงของบริษัท ที่ทั้ง“ดีเอสไอ - สตง.”มีข้อมูลว่าดำเนินธุรกิจออกไปทางสีเทาค่อนไปทางสีดำ แต่ยังไม่ถูกดำเนินการทางกฎหมายเช่นนี้ ย่อมการันตีว่า“เส้นใหญ่”พอตัว สอดคล้องเสียงลือเสียงเล่าใน“วงการไฮโซ”ที่มักมีการ“แอบอ้าง”ชื่อ “บิ๊กกี่”พล.อ.นพดล อินทปัญญา สมาชิก สปท. เตรียมทหารรุ่น (ตท.6) เพื่อนซี้“บิ๊กป้อม”พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ พี่ใหญ่ คสช. ว่าเป็นที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ของ "นิชคาร์กรุ๊ป" … พอถูก“ดีเอสไอ”บุกอายัดรถรอบนี้ คนในวงการก็พากันสงสัยว่าไปเหยียบตาปลาใครเข้าให้ หรืออาจจะเป็นความตั้งใจจริงในการกวาดล้างธุรกิจผิดกฎหมายก็ได้ ใครจะรู้ ??.
ช.ชฎา
รูป --พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล -- พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ -- ชาญเชาวน์ ไชยานุกิจ --พล.อ.นพดล อินทปัญญา
** จับตา“บิ๊กป้อม”รีเทิร์น ในสถานการณ์เกินเยียวยา
ล้อมคอกกันเข้าไป.. ผลพวงเหตุลอบวางระเบิดใน“โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า”ทำเอาหน่วยงานด้านความมั่นคง ยกระดับการรักษาความปลอดภัยสถานที่ต่างๆ เหมือน “ลูปเดิมๆ”เวลาเกิดเหตุร้ายครั้งใหญ่ๆ ... ที่ผู้คนสงสัยก็ข้อบกพร่อง“ด้านการข่าว”ที่ฝ่ายรัฐไม่ระแคะระคายก่อนเกิดเหตุบ้างเลยหรือ ยิ่งประจานความไม่เอาอ่าวของ“งานด้านความมั่นคง”ไล่ตั้งแต่ปลายด้ามขวาน จนมาถึงใจกลางเมือง-เขตนครบาล ... ยิ่ง 3 จุด ที่มีเหตุระเบิดล่าสุดในกทม. “กองสลากเก่า” ก็บน ถ.ราชดำเนิน “โรงละครแห่งชาติ”ก็ขอบรั้วชิดสนามหลวง “รพ.พระมงกุฎฯ”ก็อยู่ ถ.ราชวิถี ล้วนแต่เป็น“พื้นที่สำคัญ”ที่ไม่น่าปล่อยให้เกิดเหตุใกล้เคียงวินาศกรรมเช่นนี้ได้ ... เมื่อถูกตัดสินว่างานด้านการข่าว-ด้านความมั่นคงของรัฐบาล คสช. ห่วยเหลือเกิน
ยิ่งเมื่อวานนี้ (24 พ.ค.) ที่ศาลทหารกรุงเทพ มีคำสั่ง “ไม่ฟ้องคดี”ผู้ต้องหา 17 คน ซึ่งเคยถูกจับ และกล่าวหาว่าเป็น“แนวร่วมขบวนการใต้ดิน” หลังจากเหตุวินาศกรรมหลายจุดในพื้นที่ 7 จังหวัดภาคใต้ เมื่อเดือน ส.ค.59 ก็ยิ่งเป็นข้อยืนยันถึง“ความมั่วซั่ว-สะเปะสะปะ”ของงานด้านความมั่นคงอย่างชัดเจน ... ตัดกลับมาที่เหตุระเบิด รพ.พระมงกุฎฯ พอมีคำถามเรื่องการข่าว หรือการเตรียมพร้อมรับสถานการณ์ ก็มีข่าวออกมาจาก“แหล่งข่าวตำรวจ”ทันทีว่า เมื่อวันที่ 19 พ.ค. (ก่อนวันเกิดเหตุ 3 วัน) มีจดหมายถึงผู้อำนวยการสถาบันมะเร็งแห่งชาติ ถ.พระราม 6 อ้างว่าเป็นคำเตือนจาก“ขบวนการ BRN IS”ระบุว่า ภายในปีนี้ จะมีก่อการร้ายภายใน“โรงพยาบาลของรัฐแถวนี้ 3 แห่ง” ก่อนที่“บิ๊กปู”พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รอง ผบ.ตร. ด้านความมั่นคง จะออกมารับลูก บอกว่า“จดหมายลึกลับ”มีจริง แต่เจ้าหน้าที่ไม่ให้น้ำหนัก มีเพียงไปเฝ้าระวังที่ รพ.อื่น ทั้ง“รพ.พระมงกุฎฯ”กับ“ส.มะเร็งแห่งชาติ”น่าจะถือว่าอยู่ในละแวกเดียวกัน ... เอากับเขาสิ
รอดูวันนี้ (25 พ.ค.) ที่มีข่าวว่า “บิ๊กป้อม”พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ความมั่นคง ที่ช่วง3-4 วันมานี้ มีข่าวไม่สู้ดีนัก ล้มป่วยค่อนข้างหนัก ต้องไปรักษาตัวเมืองนอก จะกลับเข้าประจำการทำงานตามปกติ ... การคลี่คลายเหตุระเบิด รพ.พระมงกุฎฯ รวมทั้งการเผ้าระวังป้องกันเหตุที่อาจจะเกิดขึ้นอีก จะเป็นบทพิสูจน์น้ำยาของ“กระบี่มือหนึ่งงานความมั่นคง”ที่ 3 ปีมานี้ ผลงานด้านความมั่นคง หรือผลประโยชน์ต่อส่วนรวม“สอบตก”แบบหมดสิทธิ์อุทธรณ์
** ปลัดใหม่ ยธ.“วิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ”เส้นทางไม่ธรรมดา
แหกโค้งไปก่อนใครเพื่อน "ชาญเชาวน์ ไชยานุกิจ" ที่ถูกเด้งดึ๋งจาก ปลัดกระทรวงยุติธรรม ไปนั่งตบยุงเป็น ผู้ตรวจการพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แล้วดึง “วิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ” อธิบดีกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน ขึ้นมาเป็นปลัดฯแทน ... ท่ามกลางกระแสข่าวที่หลายกระทรวงเตรียมเปลี่ยนแปลงข้าราชการระดับสูง อย่างที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ “ดร.ฝน”ธีรภัทร ประยูรสิทธิ ก็มีข่าวว่ากำลังจะเซย์กูดบายจากตำแหน่งหลังวันพืชมงคล แต่ก็ยังเหนียวแน่นหนึบอยู่ ...
ฟ้าดันมาผ่าเปรี้ยงที่ “ชาญเชาวน์”อดีตข้าราชการดาวรุ่งพุ่งแรงแห่งยุค ที่เคยต้องซอยเท้ารอขึ้นชั้นเบอร์ 1 กระทรวงตราชั่ง อยู่นานสองนาน จนได้มาลืมตาอ้าปากในยุคคสช. ก่อนจะโดนคสช.สอยร่วง ด้วยข้ออ้างที่สุดแสนจะดูดีว่า“นายกฯตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ถูกใจในความสามารถ เลยขอตัวมาช่วยงานการปฏิรูปกฎหมาย กระบวนการยุติธรรม รวมถึงการปฏิรูปตำรวจ ฟังแล้วก็ได้แต่หัวเราะหึๆ โธ่ถังกะละมังหม้อ งานที่อ้างๆ มานั่งคร่อมเป็นปลัดกระทรวงก็ทำได้ขณะที่เจ้าตัวเองที่คงช๊อกไม่น้อย เมื่อถูกปลดกลางอากาศ ในขณะติดพันภารกิจอยู่ที่ประเทศออสเตรีย เดาว่างานนี้ไม่จบง่ายๆ จากที่ได้ฟังสุ้มเสียงผ่านคนใกล้ชิด น่าจะมีงานเอาคืน เรียกร้องความเป็นธรรมให้ตัวเองตามมา รอเพียงคลื่นลมสงบซักนิด ... อย่าลืมว่าการย้าย “ชาญเชาวน์”ครั้งนี้ใช้เพียง “มติครม.” ไม่ได้ใช้ “มาตรา 44”เหมือนกรณีอื่นก่อนหน้าที่จะมีรัฐธรรมนูญใหม่ ... เห็นมีการวิเคราะห์ต่างๆ นานา ถึงตื้นลึกหนาบางการปลด“ปลัดยุติธรรม” บ้างก็ว่าเป็นเพราะเคยต้องคดี-มีโทษร่วมกับ"ธาริต เพ็งดิษฐ์" เกี่ยวกับการแต่งตั้งภายในดีเอสไอ แต่โทษก็แค่ให้รอลงอาญา ถ้าเอากันเรื่องนี้จริง คงปลดนานแล้ว ... และ วิษณุ เครืองาม รองนายกฯฝ่ายกฎหมาย ก็ยืนยันว่าไม่เกี่ยวข้อง ความผิดแค่รอลงอาญา ไม่ถือเป็นความบกพร่องในการปฏิบัติหน้าที่ …
ที่น่าจะพอฟังได้ คงเป็นเรื่องปัญหาการทำงานที่เป็น“ข้าราชการสายแข็ง”ไม่ค่อยยอมใคร นี่ต่างหากที่ทำให้โดนเขี่ยพ้นทาง ... เรื่องปลดก็เรื่องหนึ่ง เรื่องคนมาแทนนี่ก็น่าสนใจไม่น้อย ไล่เรียงประวัติ “ปลัดวิศิษฏ์”ที่แม้เป็นอาวุโสอันดับ 1 ก็จริง แต่เส้นทางไม่ธรรมดา โดยเฉพาะการเติบโตในยุค สมชาย วงศ์สวัสดิ์ - ชัยเกษม นิติสิริ เป็นเจ้ากระทรวงยุติธรรม ...ในขณะที่คสช.ใช้กระทรวงยุติธรรม เป็นหัวหอกในภารกิจหลายๆ เรื่อง ระวังจะเข้าทำนอง“ไส้ศึกหนึ่งคน มีค่ามากกว่า กำลังพลนับแสน”หนึ่งในวรรคทองจากมหากาพย์สามก๊ก นะท่านนะ
** ทลายอาณาจักร“นิชคาร์”มุ่งปราบธุรกิจสีเทาหรือเกมผลประโยชน์
ตกเป็นข่าวใหญ่เมื่อสัปดาห์ก่อน เมื่อเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ปฏิบัติการจู่โจมตรวจค้นโชว์รูมเครือ "นิชคาร์กรุ๊ป" ที่มี“เหตุอันควรสงสัย”ว่าเป็นขบวนการนำเข้า “รถหรู-ซูเปอร์คาร์เลี่ยงภาษี”ก่อนจะอายัดรถยนต์ยี่ห้อดัง มูลค่าคันละหลายล้านไว้ถึง 122 คัน ... ให้หลังหนึ่งวัน มีการแถลงข่าวเรื่องนี้โดยพ.ต.อ ดุษฎี อารยวุฒิ รองปลัดยุติธรรม พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดี ดีเอสไอ ชำแหละขบวนการเลี่ยงภาษีไว้อย่างไม่มีชิ้นดี เฉพาะที่อายัดไว้ทำให้รัฐเสียหายจากการเก็บภาษีไม่น้อยกว่า 2.4 พันล้านบาท ด้วย“ทริคเดิมๆ”ในวงการ“เกรย์มาร์เก็ต”ที่มักมีพฤติกรรม “สำแดงราคาเท็จ”ต่ำกว่าความเป็นจริงมาก แต่ก็มักผ่าน“พิธีการศุลกากร”อยู่ร่ำไปเช่นกัน …ซึ่งจริงๆไม่กี่ปีก่อนก็มีการระดมกวาดล้าง“ตลาดรถเกรย์มาร์เก็ต”ครั้งใหญ่ไปแล้ว ทาง ดีเอสไอ เองก็ได้ส่งเรื่องไปที่ สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) และอยู่ระหว่างการตรวจสอบ“ข้าราชการระดับสูงของกรมศุลกากร”หลายราย
ขณะที่ บริษัท นิชคาร์ จำกัด ก็คือ 1 ใน 2 บริษัท ที่ถูกตรวจสอบอยู่ ขณะที่อีกแห่งคือ บริษัท จูบิไลน์ จำกัด ก็อยู่ในเครือ "นิชคาร์กรุ๊ป" ที่วงการไฮโซ-ไฮซ้อ รู้จักกันดีว่าเป็นของ เสรี รักษ์วิทย์ เจ้าพ่อซูเปอร์คาร์เมืองไทย ที่เพิ่งเปลี่ยนมาใช้นามสกุล “ชินบารมี”ได้ไม่นาน ปัจจุบันโดดขึ้นไปนั่งเป็นประธานที่ปรึกษา ส่งต่อกิจการให้ทายาทอย่าง "แชมป์-วิทวัส ชินบารมี" ออกหน้าบริหารงานแทน ... แต่ที่น่าสนใจคือ หุ้นบริษัทในเครือ "นิชคาร์กรุ๊ป" ของ “2พ่อลูกชินบารมี”นั้น ยังมีอยู่ในบริษัทใหญ่คือ“บริษัท นิชคาร์ กรุ๊ป จำกัด”ขณะที่ในบริษัทลูก มีการผ่องถ่ายออกไปอย่างมีนัยยะสำคัญ โดยใน บจ.จูบิไลน์ “แชมป์-วิทวัส”ยังมีชื่อถือหุ้นใหญ่อยู่ แต่ในส่วน บจ.นิชคาร์ ได้ถอนหุ้นออกจนเกลี้ยง ตั้งแต่ปี 2558 มีชื่อ น.ส.ศิริพรรณ บุญประกอบ ที่ถือหุ้นอยู่ถึง 99.9 % แต่ “แชมป์-วิทวัส”ก็ยังออกหน้าในฐานะเจ้าของ-ผู้บริหาร มาจนถึงตอนนี้
น่าสนใจอีกว่าในระหว่างที่มีการตรวจสอบจาก สตง.อยู่นั้น กิจการของ"นิชคาร์กรุ๊ป" กลับทะยานติดลมบนต่อเนื่อง ทั้งการประกาศเป็นเจ้าของโชว์รูมซูเปอร์คาร์-สปอร์ตคาร์ ที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน รวมทั้งยังได้ถือสิทธิ์ตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทยของ 2 แบรนด์ยักษ์ใหญ่ ทั้ง “Lamborghini – McLaren”อย่างต่อเนื่อง และตลกร้ายที่ว่า รถส่วนใหญ่ที่ถูกอายัดงวดนี้เป็น Lamborghiniเสียด้วย ... ความยิ่งใหญ่ของ “นิชคาร์”ส่งผลให้เศรษฐีกระเป๋าหนักเมืองไทยแทบทุกราย ต้องเคยมาเป็นลูกค้า ทำให้มียอดรายได้สะพัดปีละเป็น“พันๆล้าน”แต่สวนทางกับ“กำไรสุทธิ”ที่แจ้งไว้ในแต่ละบริษัท แค่ปีละ 1-2 ล้านบาท
การอยู่ยั้งยืนยงของบริษัท ที่ทั้ง“ดีเอสไอ - สตง.”มีข้อมูลว่าดำเนินธุรกิจออกไปทางสีเทาค่อนไปทางสีดำ แต่ยังไม่ถูกดำเนินการทางกฎหมายเช่นนี้ ย่อมการันตีว่า“เส้นใหญ่”พอตัว สอดคล้องเสียงลือเสียงเล่าใน“วงการไฮโซ”ที่มักมีการ“แอบอ้าง”ชื่อ “บิ๊กกี่”พล.อ.นพดล อินทปัญญา สมาชิก สปท. เตรียมทหารรุ่น (ตท.6) เพื่อนซี้“บิ๊กป้อม”พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ พี่ใหญ่ คสช. ว่าเป็นที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ของ "นิชคาร์กรุ๊ป" … พอถูก“ดีเอสไอ”บุกอายัดรถรอบนี้ คนในวงการก็พากันสงสัยว่าไปเหยียบตาปลาใครเข้าให้ หรืออาจจะเป็นความตั้งใจจริงในการกวาดล้างธุรกิจผิดกฎหมายก็ได้ ใครจะรู้ ??.
ช.ชฎา
รูป --พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล -- พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ -- ชาญเชาวน์ ไชยานุกิจ --พล.อ.นพดล อินทปัญญา