วานนี้ (23พ.ค.) มีการประชุมสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ(สปท.) โดย น.ส.วลัยรัตน์ ศรีอรุณ รองประธานสปท. คนที่ 2 เป็นประธานการประชุม เพื่อรับทราบรายงานจากคณะกมธ.ขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ด้านการสื่อสารมวลชน เรื่องการปกป้องคุ้มครองและรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ของโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ ด้านสารสนเทศของประเทศ มี พล.อ.อ.คณิต สุวรรณเนตร ประธาน กมธ.สื่อฯ อภิปรายชี้แจงหลักการและเหตุผลว่า กมธ.พบว่าความรู้ของบุคลการด้านความปลอดภัยไซเบอร์ของประเทศไทย มีน้อยมาก เมื่อเทียบกับประเทศอื่น วันนี้ไทยติดอันดับต้นๆ เป็นเป้าหมาย ทางผ่านการโจมตี ต่อไปการรับมือจะประสานทั้งภาครัฐและเอกชน เพราะภัยคุกคามต่อจากนี้ คาดเดายาก ไม่ใช่ภัยที่เกิดจากมือสมัครเล่นอีกต่อไป แต่มีการกระทำในลักษณะโยงใยเป็นเครือข่าย เราจึงเสนอจัดทำกฎหมายที่เกี่ยวข้อง รองรับแผนยุทธศาสตร์ ให้รัฐบาล“ควรผลักดันร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ พ.ศ... ให้มีผลใช้บังคับโดยเร็ว”พร้อมผลักดันกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับ“การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล”ด้วย เพราะเกี่ยวข้องการแก้ปัญหา รับมือ เกี่ยวโยงกันทั้งระบบโครงสร้างพื้นฐานสารสนเทศ และรัฐต้องสร้างบริบทแวดล้อมให้เห็นว่า กฎหมายไม่ได้มุ่งล่วงละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า องค์ประกอบในรายงานนี้ ได้วางยุทธศาสตร์ป้องกันระบบโครงสร้างพื้นฐานสารสนเทศ เป็น 5 กลุ่ม ได้แก่ 1. กลุ่มสารสนเทศและโทรคมนาคม 2. กลุ่มธนาคารและสถาบันการเงิน 3. กลุ่มพลังงาน 4. กลุ่มการขนส่งทางกายภาพ และ 5. กลุ่มบริการที่จำเป็นต่างๆ โดยกำหนดกรอบระยะเวลาปฏิรูปเป็น 4 ระยะ ใช้เวลา 6 เดือน จากนั้นต้องเริ่มใช้นโยบาย หรือแผนยุทธศาสตร์การรักษาความมั่นคงปลอดภัยของโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของประเทศด้านสารสนเทศ หลังจากสมาชิกอภิปรายส่วนใหญ่ด้วยในหลักการ จึงโหวตเห็นชอบ 141 ต่อ 1 งดออกเสียง 5 ส่งรายงานให้คณะรัฐมนตรีต่อไป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า องค์ประกอบในรายงานนี้ ได้วางยุทธศาสตร์ป้องกันระบบโครงสร้างพื้นฐานสารสนเทศ เป็น 5 กลุ่ม ได้แก่ 1. กลุ่มสารสนเทศและโทรคมนาคม 2. กลุ่มธนาคารและสถาบันการเงิน 3. กลุ่มพลังงาน 4. กลุ่มการขนส่งทางกายภาพ และ 5. กลุ่มบริการที่จำเป็นต่างๆ โดยกำหนดกรอบระยะเวลาปฏิรูปเป็น 4 ระยะ ใช้เวลา 6 เดือน จากนั้นต้องเริ่มใช้นโยบาย หรือแผนยุทธศาสตร์การรักษาความมั่นคงปลอดภัยของโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของประเทศด้านสารสนเทศ หลังจากสมาชิกอภิปรายส่วนใหญ่ด้วยในหลักการ จึงโหวตเห็นชอบ 141 ต่อ 1 งดออกเสียง 5 ส่งรายงานให้คณะรัฐมนตรีต่อไป