แรกๆ...นึกว่าเป็นคอมเพรสเซอร์แอร์ระเบิด ไปๆ-มาๆ กลับเป็นระเบิดของจริง-ของแท้ไปซะนี่!!! งานนี้...เลยกลายเป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมาแบบฉับพลัน-ทันที คือเล่นวางไว้แถวๆ ห้องรับรองข้าราชการบำนาญ ห้องตรวจโรคบรรดาทหารชั้นยศนายพล แถมเป็นห้องที่เรียกขานกันในนาม “ห้องวงษ์สุวรรณ” ตามนามสกุลของ “บิ๊กป้อม” ซะอีกต่างหาก แทบไม่ต่างไปจากการยกฝ่าตีนลูบหน้า ยังไง-ยังงั้น...
เอาเป็นว่า...คนวางมันจะเป็นใครก็แล้วแต่ แต่น่าสรุปได้ว่าคงต้องมีอาการ “โรคจิต” ไม่ว่าระดับอ่อนๆ หรือระดับรุนแรง ผสมผสานภายในตัวอยู่ไม่น้อย เพราะมันไม่ได้ส่งผลในเชิงบวกต่อใครและใครขึ้นมาเลย มีแต่ลบกับลบ ออกไปทางเสียบรรยากาศ เสียรังวัด เสียหมา เสียสุนัข ฯลฯ ไปด้วยกันทั้งสิ้น ไล่มาตั้งแต่บรรยากาศที่ผู้คนยังคงอยู่ในความโศกเศร้าเสียใจต่อความสูญเสียครั้งใหญ่ ที่ไม่น่าจะมีอะไรทำนองนี้ โผล่เข้ามาสอดแทรกเอาเลยแม้แต่น้อย บรรยากาศแห่งการปรองดอง ที่ไม่ว่าจะ “ดอง” กันในแบบไหน อย่างไร แต่ก็พอดึงดูดให้แต่ละฝ่ายหันมาร่วมมือร่วมใจกันในบางระดับ ยิ่งบรรยากาศของการเลือกตั้งที่กำลังใกล้จะมาถึงด้วยแล้ว ยิ่งหนักหนาสาหัสเข้าไปใหญ่ เพราะมีแต่จะทำให้ต่างฝ่าย ต่าง “เกร็ง” ไปด้วยกันทั้งสิ้น...
คือพูดง่ายๆ ว่า...มันไม่ได้มีหัวค้ง หัวคิด ทางการเมืองอะไรเอาเลยแม้แต่น้อย แม้พยายามแสดงจุดประสงค์ทางการเมืองเอาไว้ในปฏิบัติการวางระเบิดก็ตามที ออกไปทางขอเพียงแค่ให้ “สะใจ” เข้าไว้ ให้ “สมแค้น” ตาแม้น หรือตาอะไรก็ตามแต่ ไม่จำเป็นต้องสนใจว่า “ส่วนรวม” หรือ “บ้านเมือง” จะเป็นไปในแบบไหน อย่างไร ขอเพียงแต่ให้ “ตัวกู-ของกู” มีโอกาสได้ “เอามันซ์ซ์ซ์” เป็นที่ตั้ง ซึ่งบรรดากลุ่มคนที่มีพื้นฐานอารมณ์ ความรู้สึกทำนองนี้ ว่าไปแล้ว...คงไม่ได้มีอยู่มากมายซักเท่าไหร่ ไม่งั้นประเทศชาติคงเละเป็นขี้ เละเป็นโจ๊ก ไปนานแล้ว แถมยังไม่น่าเป็นกลุ่มคนที่มีบทบาททางสังคม ไม่ว่าในแวดวงไหนๆ แม้แต่ในวงการการเมือง เพราะมันออกไปทาง “สุดโต่ง” สุดลิ่มทิ่มกระดาน ชนิดไม่ว่าพรรคการเมืองพรรคไหนต่อพรรคไหน คงไม่อยากร่วมสังฆกรรมด้วยแน่ๆ แม้แต่พรรคที่เคย “เผาไทย” มาด้วยกันก็เถอะ มีแต่ต้องพยายาม “ถอยห่าง” เข้าไว้ ไม่งั้น...อาจถูกเผาตามไปด้วยอย่างช่วยไม่ได้...
ด้วยเหตุนี้...คงไม่ต้องเสียเวลาโทษกันไป-โทษกันมา กล่าวหากันไป-กันมา ปล่อยให้เป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบเขาว่าไปตามการข่าว การวิเคราะห์ ตามหลักฐาน ข้อพิสูจน์ ไปตามสภาพ เพราะมันคงไม่ต่างอะไรไปจากการไล่สืบ ไล่จับ พวก “ค้ายาบ้า” มากมายซักเท่าไหร่นัก คือมันไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์กับใครต่อใครเอาเลยแม้แต่น้อย เป็นปฏิบัติการที่ยึดเอา “ตัวกู-ของกู” เอาอารมณ์ ความรู้สึกของกูเป็นที่ตั้ง แทบไม่ต้องเสียเวลาไปคิดมาก หรือคิดเล็ก คิดน้อย ว่าใครเป็นผู้ก่อการเช่นนี้ ยิ่งประเภทคิดแบบหนักไปทาง “จิ้น” หรือ “มโน” เอาตามจินตนาการของตัวเอง ยิ่งไม่น่าคิดเข้าไปใหญ่ เพราะสำหรับผู้ซึ่งยังพอมี “สภาพจิต” โดยปกติ หรือยังพอมีหัวคิด มีสติ-ปัญญาแค่เล็กๆ น้อยๆ คงไม่มีใครคิดจะทำอะไรในแนวนี้โดยเด็ดขาด...
แต่ในเมื่อเหตุการณ์ทำนองนี้มันอุบัติขึ้นมาแล้ว โดยไม่ใช่แค่ครั้งแรก หรือครั้งเดียว อันถือเป็นข้อพิสูจน์ให้เห็นชัดเจนแล้วว่า ยังมีกลุ่มคนประเภทนี้สอดแทรก ซึมซ่านอยู่ภายในสังคม เลยคงต้องถือเป็นภาระหน้าที่ของผู้คนทั่วทั้งสังคมนั่นแหละ ที่จะต้องหาทาง “ถอยห่าง” จากกลุ่มคนประเภทนี้ให้มากๆ เข้าไว้ ต้องปฏิเสธ “ความรุนแรง” ทุกชนิด ทุกรูป ทุกแบบ ปฏิเสธความ “สุดโต่ง” ในแต่ละด้าน ไม่ว่าจะออกมาในแนวประชาธิปไตย เผด็จการ หรือจะเอายี่ห้อใด ระบบใด มาสวมใส่เอาไว้ก็แล้วแต่ แต่ถ้าหากมันออกไปทาง “เล่นเจ็บ” “เล่นแรง” ไม่ได้คำนึงถึงผู้บริสุทธิ์ ผู้ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ ไม่สนใจว่าพ่อใคร แม่ใคร ลูกใคร ขอเพียงให้ “ตัวกู-ของกู” ออกัสซั่มเท่านั้นเป็นพออันนี้...อย่าไปเปิดโอกาสให้มันเข้ามา “มีส่วนร่วม” ไม่ว่าในทางหนึ่ง ทางใด ทางตรง หรือทางอ้อม โดยเด็ดขาด ไม่งั้น...ไม่ว่าใครก็ใครเถอะ มีสิทธิ “บานทะโรค” เอาง่ายๆ!!!