การประชุมสุดยอดของผู้นำหกสิบกว่าประเทศในเรื่อง One Belt One Road ย่อว่า OBOR ซึ่งจีนเป็นเจ้าภาพและหัวเรือใหญ่ เพิ่งจะจบสิ้นลง ซึ่งเนื้อหาการประชุมเป็นความริเริ่มร่วมกันเพื่อสร้างสิ่งที่เรียกว่า "เส้นทางสายไหมทางบก" (ย่อเป็นภาษาอังกฤษว่า One Belt) กับ "เส้นทางสายไหมทางทะเล" (เรียกย่อว่า One Road) ขึ้นมาใหม่ ไทยเราแม้จะไม่มีนายกรัฐมนตรีไปร่วม แต่ก็ได้ส่งรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีไปร่วม วันนี้ผมขอขยายความและให้ความเห็นเพิ่มเกี่ยวกับ OBOR ซึ่งจะสำคัญขึ้นเรื่อย ๆ ในโลกยุคบูรพาภิวัตน์ที่มีจีนเป็นมหาอำนาจอันดับสองของโลก
แม้อเมริกามหามิตรยังเป็นหมายเลขหนึ่งของโลกอยู่ในวันนี้ แต่ก็อยู่ห่างเราออกไปไกล ที่จริงอยู่ไกลเราที่สุดก็ว่าได้ในโลก เวลาก็ห่างกับเราอยู่ถึง 12 ชั่วโมง ในขณะที่จีนนั้น เวลาห่างจากเราเพียงสองชั่วโมง จัดเป็นเพื่อนบ้านใกล้เคียง อยู่ห่างเราไปนิดเดียว จุดเหนือสุดของเราห่างจากจุดใต้สุดของจีน ถ้าวัดเป็นเส้นตรง คงจะราวร้อยกิโลเมตรเท่านั้นเอง
ในอดีตอันไกลโพ้นมาจนถึงเมื่อราวร้อยห้าสิบปีที่แล้วนี้ จีนได้อาศัยเส้นทางสายไหมทางบกและทะเลมาสร้างความร่ำรวยและยิ่งใหญ่ เชื่อมโยงผ่านการค้าทางไกล เข้ากับสามทวีป คือเอเชีย-ยุโรป-อัฟริกา อย่างใกล้ชิด
เส้นทางสายไหมทางบกมีมาไม่ต่ำกว่าสองพันปีแล้ว เส้นทางนี้ทำให้จีนส่งผ้าไหมแพรพรรณ ชา ถ้วยโถโอชาม เซรามิก เครื่องปั้นหรือเครื่องเคลือบดินเผา กระเบื้อง ไปขายยังดินแดนที่ปัจจุบันเป็นเอเชียกลาง เอเชียใต้ อิหร่าน ตุรกี แถบคอเคซัส ยูเครน โปแลนด์ รัสเซีย ประเทศยุโรปตะวันออก ยุโรปใต้ ไปจนถึงยุโรปตะวันตกได้อย่างค่อนข้างสะดวก
ยามใดที่จีนเข้มแข็งมีศูนย์กลางอำนาจชัดเจน ทางสายไหมก็รับใช้พ่อค้า นักเดินทาง นักลำเลียง สัตว์ต่าง โดยเฉพาะอูฐ ได้อย่างดี ขนส่งสินค้า ซื้อขายแลกเปลี่ยนกันจากทิศตะวันออกไปสู่ทิศตะวันตก หรือกลับกัน ได้เป็นอย่างดี แต่ ยามใดที่บรรดา"อนารยชนจากทุ่งหญ้า"เหนือขึ้นไป เข้ามายื้อแย่งหรือรบกวนเส้นทางนี้ การค้าทางไกลเชื่อมโยงเอเชียกับยุโรปนี้ ก็พลอยต้องหยุดหรือชะงักไป ตราบใดที่อนารยชนถูกจีนปราบลงได้ หรือ กลับกัน พวกนี้ยึดครองจีนได้สำเร็จ "เส้นทางสายไหมทางบก" อันยาวเหยียดที่ซบเซาไปจากสงครามก็จะพลันฟื้นขึ้นมาอีก
ตลอดประวัติศาสตร์อันยาวนานหลายพันปี เส้นทางสายไหมทางบกนี้ ไม่เพียงจะนำการค้า พ่อค้า พระ นักสอนศาสนา จากแผ่นดินทางตะวันตกมาให้จีน หากยังนำกองทัพ กองทหาร โดยเฉพาะทหารม้าที่ปราดเปรียวมาก และยิงธนู รวมทั้งธนูไฟ เก่ง"ปานเทพ" รุกเคลื่อนมายึดครองจีนได้เป็นพักๆเสมอ และแต่ละ"พัก" นี้ บางครั้งก็นานนับหลายศตวรรต เหตุฉะนั้น แนวคิดยุทธศาสตร์แต่ดั้งเดิมของจีนคือสร้างกำแพงยักษ์ยาวเหยียดคลุมทั้งประเทศยืนตระหง่านต้านศัตรูจากทางเหนือ ยิ่งกว่านั้น ในตอนหลัง พระจักรพรรดิและเมืองหลวงก็ต้องขยับขึ้นสูงมาประทับและตั้งมั่นอยู่ที่ปักกิ่ง เตรียมรับศึกจากอนารยชนฝ่ายเหนือ
นั่นคือประวัติศาสตร์หลายพันปีตราบจนปลายศตวรรษที่ 18 อย่างไรก็ตาม เมื่อโลกเข้าสู่ศตวรรษที่ 19 จีนกลับต้องเผชิญหน้ากับ "ศัตรูใหม่" ทางทะเล เส้นทางสายไหมทางทะเลบัดนี้นำมาซึ่งสินค้าจาก"ตะวันตก"พร้อมๆกับนำมาซึ่งกองเรือกลไฟฝรั่งทำด้วยเหล็กกล้าและติดปืนใหญ่ที่สามารถสยบปืนใหญ่ทุกกระบอกทุกประเภทที่จีนมีอยู่ได้สบายมือ เส้นทางสายไหมทางทะเล จากที่เคยนำความรุ่งเรืองมาให้จีน กลับนำภัยพิบัติมาเยือน จน เกือบสิ้นชาติสิ้นอารยธรรม เหตุวิกฤตใหญ่นี้เกิดอยู่ในราวกลางศตวรรษที่ 19 (จากสงครามฝิ่น) ถล่มทำลายบ้านเมือง และผลาญชีวิตผู้คนไปหลายสิบล้าน ทอดยาวมาจนถึงกลางศตวรรษที่ 20 จึงได้ยุติลง จีนใหม่สถาปนาได้สำเร็จ ประชาชาติจีนได้ลุกขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
เส้นทางสายไหมทั้งทางบกและทางทะเล" นั้น ที่จริงแล้ว ก็คือการขยายตัวในทางการค้า ทางเกษตรกรรม ทางอุตสาหกรรม การลงทุน และ การเงิน ของจีน ไปสู่ "ทั่วโลกเก่า" อย่างมี "มหายุทธศาสตร์" จีนทำ OBOR ขึ้นมาด้วยความซาบซึ้งต่อประวัติศาสตร์เส้นทางสายไหม และ ก็ ด้วยความเข้าใจในภูมิ-ยุทธศาสตร์ และ ภูมิ-รัฐศาสตร์ของโลกในยุค "บูรพาภิวัตน์" ด้วย
ถ้าจีนทำได้สำเร็จ คือ ไม่ใช่เอาแต่ตนเองเป็นที่ตั้ง ไม่ใช่แค่หว่านเงิน ไม่ใช่แค่แจกหรือขอโครงการ หากด้วยการร่วมมือ ร่วมใจ ร่วมคิด ร่วมทุน กับมหาอำนาจอื่นๆ และบรรดาประเทศบนเส้นทางสายไหม ไม่ว่าใหญ่หรือเล็ก รวยหรือจน จีนก็จะเป็นขั้วอำนาจใหญ่ในซีกตะวันออกของเส้นทางนี้ แต่จะว่าไปนี่ก็เป็นเพียงก้าวที่หนึ่ง ไม่ใช่เรื่องยากนัก ที่ยากกว่าและสำคัญกว่า คือ จีนต้องใช้ปัญญา อดทน รอคอยได้ ยืดหยุ่นพลิกแพลง เฉลียวฉลาดและรับฟังประเทศอื่น ๆเสมอ ยอมแก้ไขบรรดาแผนการและโครงการได้เสมอ เช่นนั้นแล้ว จีนอาจจะผงาดขึ้นมาเป็นมหาอำนาจที่ทั้งสาม "ทวีปเก่า" ของโลกล้วนยอมรับนับถือ
ถ้าทำได้ จีน ที่เพิ่งจะสร้าง "อภินิหาร" ให้โลกเห็นในการกระโดดใหญ่ก้าวพ้นจากความยากจนล้าหลังมาได้อย่างรวดเร็วจนไม่น่าเชื่อ ก็อาจจะสร้าง "อภินิหาร"รอบใหม่ได้อีก คือสามารถโดดเดี่ยวอเมริกา มหามิตรของเรา และ มหาอำนาจอันดับหนึ่งของโลกให้จมติดที่หรือให้วนเวียนอยู่แต่ใน "ทวีปใหม่" อันเป็นที่ตั้งเท่านั้น
ในศตวรรษที่ 20 นั้น โลกได้เห็นสหรัฐใช้ยุทธศาสตร์ใหญ่ เอาทะเลและมหาสมุทรมาล้อมจีน ล้อมโซเวียต และล้อม "ยูเรเชีย" ซึ่งศัพท์คำหลังสุดนี้หมายถึงแผ่นดินใหญ่ที่รวมยุโรปกับเอเชียเอาไว้ด้วยกัน แต่ ติดตามต่อไปเถิด ศตวรรษที่ 21 นึ้ อาจเห็นจีนประสบความสำเร็จใช้ "เส้นทางสายไหมทางบกและทะเล" หรือ ใช้ ยุทธศาสตร์ One Belt One Road หรือ OBOR นี้ ตะล่อม หรือ รวบรวมเอาเอเชีย อัฟริกา ยุโรป เข้าไว้ด้วยกัน พร้อมกับที่โดดเดี่ยวอเมริกาให้ กลายเป็น "ประเทศสุดท้าย" ขอเลียนแบบสำนวนของประธานาธิบดีทรัมป์ แต่พลิกหัวเป็นหางเสีย คือ ทำให้เกิด "America Last" อเมริกาจะได้รับดอกผลแต่น้อย แต่ช้า จากโลกใหม่ที่จีนจะออกแบบให้ด้วยยุทธศาสตร์ One Belt One Road หรือ OBOR นี้เอง
ในเวลานี้ แน่นอน จีนย่อมจะพร่ำบอก และยืนยันต่อใครๆ ว่า OBOR ของตนนั้น ไม่ใช่ยุทธศาสตร์โลก อย่างมากก็เป็นเพียง soft power คล้ายกับการเดินเรือของแม่ทัพเจิ้งเหอที่ท่องสมุทรไปมาสองทวีปเอเชีย-อัฟริกาตะวันออกในช่วงต้นศตวรรษที่ 15 เท่านั้น จีนจะชี้เสมอว่า OBOR ของตนเป็นเพียงเรื่องเศรษฐกิจ เป็นเพียงความร่วมมือกับนานาประเทศ จีนไม่ได้คิดจะรวมกำลังกับใคร มิพักต้องไปพูดถึงการรวมสามทวีป เพื่อจะโดดเดี่ยวอเมริกา แต่ อย่าลืม ในขณะนี้จีนเข้มแข็งขึ้นปีต่อปีเดือนต่อเดือนในทางการทหาร เมื่อเดือนที่แล้วเอง ก็ปล่อยเรือบรรทุกเครื่องบินลำที่สองลงสู่น่านน้ำ มีข่าวจีนจะเปิดฐานทัพเรือนอกประเทศเป็นครั้งแรกในจิบูตี จีนทำเครื่องบินไอพ่นรบล่องหนได้แล้ว ทำเครื่องบินไอพ่นโดยสารขนาดใหญ่ได้แล้ว ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ของจีนคำนวณได้มากและเร็วที่สุดในโลก แล้ว ขีปนาวุธจีนที่ยิงจากชายฝั่ง จากเรือเร็วลำเล็กตามชายฝั่ง หรือยิงขึ้นมาจากเรือดำน้ำ สามารถทำลายเรือบรรทุกเครื่องบินของสหรัฐได้อย่างง่ายดาย บรรดาเรื่องเหล่านี้ ทำให้เราประมาทไม่ได้ว่าจีนกำลังทำอะไร และจะทำอะไรกับเส้นทางสายไหม บก-ทะเล นี้ อยู่
การภายหน้าจะเป็นอย่างไร จีนจะทำเฉพาะตามที่พูดหรือเปล่า ต้องตามไปดูด้วยกัน แต่ก็ต้องตามอ่านตามคิดไปด้วย โลกเรามาถึงช่วงเวลาที่บรรดาศัพท์ใหม่ แนวคิดใหม ทฤษฎีใหม่กระบวนทัศน์ใหม่ มีมากเหลือเกิน ในวันนี้ One Belt One Road หรือ OBOR อาจสำคัญไม่น้อยไปกว่า "ฉันทามติวอชิงตัน" หรือ World Bank หรือ IMF ในยุคนี้เราจะสนใจแต่เพียงว่า " Trump ว่ายังไง ทำอะไร" รวมทั้ง " America First" คืออะไร หรือ ว่า "Brexit" จะนำมาซึ่งอะไร หรือ "E- Commerce" จะขยายตัวเร็วแค่ไหนหรือ เรื่องประเภท "Cyber-" ทั้งหลาย แค่นั้น เห็นจะไม่ได้เสียแล้ว