xs
xsm
sm
md
lg

ความคิดประหลาดเรื่องพยาบาล

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: สุรวิชช์ วีรวรรณ


แม้รัฐบาลมีท่าทีที่ผ่อนปรนลงและพยายามหาทางออกเรื่องพยาบาล แต่ผมคิดว่าเป็นเพราะทานต่อกระแสสังคมไม่ไหว อย่างไรก็ตามสิ่งที่รัฐบาลพยายามผ่อนปรนและลดท่าทีลงมา ผมก็คิดว่ายังไม่เป็นธรรมพอกับคนประกอบวิชาชีพพยาบาล แถมถ้าเราไปดูท่าทีและวิธีคิดตั้งแต่ต้นของคนในรัฐบาลและครม.ต่อเรื่องนี้ เราจะพบว่า มีตรรกะความคิดที่ประหลาดและแย่เอามากๆ

ใช่ครับผมกำลังพูดถึงกรณีที่เครือข่ายพยาบาลวิชาชีพลูกจ้างชั่วคราว กระทรวงสาธารณสุข เรียกร้องให้รัฐบาลเพิ่มอัตราข้าราชการตั้งใหม่ตำแหน่งพยาบาลวิชาชีพ จำนวน 10,992 อัตรา

ทั้งนี้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พยายามจะอ้างว่า การบรรจุข้าราชการต้องดูอัตราการเกษียณอายุ เพราะมีหลายระดับหรือหลายซี บางอัตราต้องลดลงในส่วนที่ไม่ใช่แพทย์ พยาบาล เพื่อที่จะเปิดบรรจุในระดับที่ต่ำกว่า เช่น ซีใหญ่ๆ เกษียณไปหนึ่งคน ก็สามารถบรรจุระดับเลื่อนซีที่น้อยกว่าได้ 3-4 คน ส่วนที่เหลือก็ให้เปิดรับลูกจ้างในส่วนที่ขาดไป

โดยพยายามอธิบายว่า ให้มีข้าราชการเกษียณแล้วค่อยบรรจุคนเข้าไปทดแทน พูดง่ายๆ ว่าตอนนี้ยังไม่มีตำแหน่งรอไปก่อน

สอดคล้องกับความคิดของนางเมธินี เทพมณี เลขาธิการ ก.พ. ว่า ก.พ.ไม่ได้เพิ่มอัตราข้าราชการมาหลายปีแล้ว เหตุที่ไม่เพิ่มเพราะหน่วยงานของรัฐมีสวัสดิการดีมาก ข้าราชการถ้าไม่เสียชีวิตเราจะจ่าย 5-6 คนต่อหัวจนหลังเกษียณอายุราชการ เช่น เมื่อเจ็บป่วยก็ให้เบิกพ่อ-แม่-สามี-ภรรยา-บุตร ได้ สมัยก่อนระบบบำเหน็จ-บำนาญ เราคิดว่าข้าราชการจะเสียชีวิตกันเมื่ออายุ 60 กว่า แต่ขณะนี้คนไทยอายุเฉลี่ย 75 ปี ทำให้ระบบบำเหน็จ-บำนาญ แบกภาระงบประมาณต่อคนสูงมาก

ข้ออ้างของก.พ.ก็คือไม่มีเงินนั่นเอง

โดยสรุปจากปากคำของนายกรัฐมนตรีและเลขาธิการ ก.พ.คือ ตำแหน่งมีจำกัด และไม่มีงบประมาณในการจัดจ้างเพราะข้าราชการรัฐมีภาระในเรื่องสวัสดิการที่สูง

ผมว่านี่เป็นความคิดที่ประหลาดมาก

เพราะผมคิดว่า หลักการสำคัญในการบรรจุคนเข้ามาเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือข้าราชการน่าจะมาจากความต้องการคนทำงานให้เพียงพอกับความจำเป็นมากกว่าจะจำกัดด้วยงบประมาณหรือขึงตายว่าหน่วยงานนี้มีตำแหน่งให้เท่านี้เท่านั้น ดังนั้นจะรับเกินนี้ไม่ได้ หลักการมันน่าจะมาดูว่า หน่วยงานนี้ต้องการใช้คนทำงานเท่าไหร่จึงจะเพียงพอกับการให้บริการประชาชน คุณมีสถิติอยู่แล้วว่าจำนวนประชากรเท่านี้ มีคนเจ็บกี่คนต้องเข้าไปรักษาตัวในโรงพยาบาลจำนวนวันละเท่าไหร่ ผมคิดว่าหน้าที่ของรัฐก็คือต้องหาพยาบาลให้ได้สัดส่วนที่เพียงพอกับความต้องการ

เอาเถอะเราอาจจะไม่สามารถจัดการให้ได้ในระดับมาตรฐานโลก มีระบบสาธารณสุขที่ดีเลิศ แต่รู้ไหมครับว่าวันนี้ สัดส่วนบุคลากรด้านพยาบาลต่อประชากรของเราอยู่ในท้ายๆ ของกลุ่มอาเซียนด้วยซ้ำไป อาจจะดีกว่าพม่า เวียดนาม ลาว กัมพูชา เล็กน้อย ก่อนจะพาประเทศไปที่เศรษฐกิจ 4.0 ไม่หันมาดูเรื่องนี้หน่อยเหรอครับ 4.0 นี่มันจะไปเฉพาะเศรษฐกิจอย่างเดียวเช่นนั้นหรือ

อย่าลืมว่าพยาบาลนั้นเป็นวิชาชีพเฉพาะที่ต้องใช้ความชำนาญเฉพาะทาง ต้องเรียนด้านนี้มาโดยตรง เป็นอาชีพที่ต้องทำงานหนัก เสียสละ มีความอดทนสูง การทำงานอยู่ในภาวะที่กดดันตึงเครียด พยาบาลเป็นองค์ประกอบสำคัญในระบบสาธารณสุข รัฐจึงควรทำให้อาชีพนี้มีคุณภาพชีวิตที่ดี

วันนี้รัฐบาลและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ก็น่าจะรู้อยู่จำนวนพยาบาลยังมีความขาดแคลนอีกมาก ผมมีข้อมูลเมื่อปี 2558 ระบุว่า ความต้องการพยาบาลอยู่ที่ 111,168 คน ตอนนี้มีแล้ว 64,655 คน ยังขาด 46,513 คน พยาบาลจึงเป็นสาขาที่ขาดแคลนมากที่สุดในระบบสาธารณสุข

รัฐบาลจึงควรต้องตั้งโจทย์ว่า เราจะทำอย่างไรให้พยาบาลที่ขาดแคลนลดน้อยลงให้ได้มากที่สุด และมีสัดส่วนที่เพียงพอกับจำนวนประชากรที่อยู่ในขั้นมาตรฐานให้ได้มากที่สุด แต่นี่กลับตั้งกำแพงว่า เรามีอัตราเท่านี้เรามีงบประมาณเท่านี้ ดังนั้นจึงรับพยาบาลเพิ่มไม่ได้ให้รอไปก่อนให้คนเก่าเกษียณก่อน

รัฐอาจมองว่า ก็เป็นพยาบาลลูกจ้างอยู่แล้วไง ถ้าบรรจุก็ไม่ได้ช่วยให้สัดส่วนของพยาบาลเพิ่มขึ้น แต่ข้อเท็จจริงแล้วคุณภาพชีวิตของพยาบาลลูกจ้างกับพยาบาลที่ได้รับบรรจุแตกต่างกันมาก เมื่อต้องใช้งานเขาในตำแหน่งหน้าที่ที่เหมือนกันหลักการสำคัญคือ เขาควรได้รับสิทธิที่เท่าเทียมกันไม่ใช่หรือ

ผมจะยกตัวอย่างความแตกต่างระหว่างพยาบาลวิชาชีพกับพยาบาลลูกจ้างให้ฟัง ผมไม่ต้องการบอกคนมีอำนาจหรอกครับเขารู้เรื่องนี้ดีอยู่แล้ว แต่เขาไม่ช่วยอะไรก็ต้องนับว่าเป็นเรื่องที่ใจจืดใจดำอยู่มาก เช่น สิทธิที่ได้รับของพยาบาลวิชาชีพคือ ค่าเช่าบ้าน สิทธิในการเบิกค่าเล่าเรียนของบุตรจนจบปริญญาตรี สิทธิในการรักษาพยาบาลเบิกได้ทั้งพ่อ-แม่-สามี และบุตร แต่พยาบาลลูกจ้าง เบิกได้ตามสิทธิประกันสังคมเฉพาะตัวเอง

การปรับเงินเดือนพยาบาลวิชาชีพปรับปีละ 2 ครั้ง สามารถก้าวหน้าตามบันไดวิชาชีพขึ้นเป็นระดับชำนาญการ ระดับชำนาญการพิเศษ ระดับเชี่ยวชาญ พร้อมเงินเดือนและเงินประจำตำแหน่งที่เพิ่มขึ้น แต่พยาบาลลูกจ้างได้ขึ้นเงินเดือนปีละครั้ง

เป็นไงครับเรียนจบมาในสาขาวิชาชีพเดียวกันใช้เวลาเรียนเท่ากัน ทำงานในโรงพยาบาลเดียวกัน ในลักษณะงานแบบเดียวกัน แต่สิทธิและรายได้ต่างกันมาก โอเคล่ะครับงบประมาณเป็นปัจจัยสำคัญแต่เป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่ต้องจัดหามาให้พอเพียงกับความจำเป็นที่ต้องใช้ เพราะวิชาชีพพยาบาลเป็นเรื่องจำเป็นที่เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงไปหาคนอื่นมาทำแทนไม่ได้ ถ้าคนไม่พอเราจะบอกว่า ทำแค่นี้เท่าที่คนพอก่อนก็ไม่ได้ สุดท้ายอาชีพพยาบาลจึงเป็นอาชีพที่ต้องทำงานหนักมาก

เมื่อเป็นแบบนี้ต่อไปใครเขาจะสนใจมาเรียนพยาบาลละครับ เพราะรู้แล้วว่าจบไปก็ไม่มีตำแหน่งรองรับ แล้วเราจะแก้ปัญหาการขาดแคลนพยาบาลได้เหรอ

รัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุขก็รู้อยู่แล้วว่าทุกวันนี้ โรงพยาบาลของรัฐขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์เกิดจากภาวะสมองไหลที่แพทย์พยาบาลลาออกจากโรงพยาบาลรัฐที่ให้บริการแก่สาธารณชนไปทํางานในระบบเอกชนมากขึ้น แต่เรากลับไม่ให้คุณค่าแก่พยาบาลคนที่ทำงานให้รัฐอยู่แล้ว กลายเป็นพลเมืองชั้นสองในระบบสาธารณสุขของรัฐ

การมาทำงานกับโรงพยาบาลของรัฐนั้น ต้องยอมรับว่าเขาเสียสละมากนะครับ ไม่เช่นนั้นก็ไปทำงานกับเอกชนซึ่งมีรายได้สูงกว่า งานสบายกว่ามีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่า ที่เขาขู่ว่าถ้าไม่บรรจุจะลาออกนั้นก็เป็นเรื่องที่เขาทำได้นะครับ จะไปกล่าวหาว่าเขาเห็นแก่ตัวไม่เสียสละไม่ได้หรอก ถ้ารัฐมองไม่เห็นคุณค่าของเขา

คำชี้แจงว่าไม่มีตำแหน่งไม่มีงบประมาณในภาวะที่พยาบาลยังขาดแคลน และต้องทำงานหนักสำหรับผมแล้วเป็นความคิดที่แย่มาก

ติดตามผู้เขียนได้ที่ https://www.facebook.com/surawich.verawan
กำลังโหลดความคิดเห็น