ผู้จัดการรายวัน360/ระยอง - เจ้าท่าภูมิภาคระยอง เร่งหาหลักฐานแจ้งความจับเรือ MELODY สัญชาติไลบีเรีย หลังลอยลำโหลดน้ำมันขึ้นฝั่งไทยร่วมกับ "พีทีทีจีซี-เอสพีอาร์ซี" ก่อนชาวประมงเจอคราบน้ำมันลอยฟ่องกลางทะเล จนผวาซ้ำรอยท่อน้ำมัน ปตท.รั่วปี 56 เผยทุกวันนี้ เสี่ยงชีวิตจับปลาไกลขึ้น บางรายต้องขายเรือ-กู้เงินต่อพ่วงจยย.รับจ้างแทน ด้าน "พีทีทีจีซี" แจงไม่พบคราบน้ำมันดิบจากการขนถ่ายน้ำมัน พร้อมยืนยันมีการตรวจสอบก่อนเริ่มขนถ่ายและระหว่างการขนถ่ายอย่างเคร่งครัด
จากกรณีที่นายรุ่งเรือง สว่างรุ่ง อายุ 48 ปี กลุ่มประมงพื้นบ้านเรือเล็ก “แหลมรุ่งเรือง” เขตเทศบาลนครระยอง เปิดเผยต่อผู้สื่อข่าวว่า เมื่อเวลา 10.01 น.วันที่ 14 พฤษภาคมที่ผ่านมา ขณะที่กำลังนำเรือออกไปกู้ลอบปลาบริเวณท่าเรือมาบตาพุด ห่างจากฝั่ง 10 ไมล์ทะเล ซึ่งเป็นจุดที่เคยเกิดเหตุท่อน้ำมันดิบของปตท.รั่วหลายหมื่นลิตร เมื่อเดือนกรกฎาคม 2556 โดยพบบริเวณดังกล่าวมีกลิ่นน้ำมันอย่างรุนแรง ขณะที่ในทะเลยังพบคราบน้ำมันลักษณะเป็นฝ้าลอยเหนือผิวน้ำเป็นระยะทางยาว จึงนำเรือวิ่งตามคราบน้ำมันจนมองเห็นเรือขนาดใหญ่กำลังโหลดน้ำมันกลางทะเล จึงนำเรือเข้าไปใกล้เพื่อใช้โทรศัพท์มือถือบันทึกภาพไว้เป็นหลักฐาน
โดยขณะนำเรือวิ่งใกล้เรือขนาดใหญ่ลำดังกล่าว ยังพบมีเรือขนาดเล็ก เฝ้าอยู่ใกล้เรือใหญ่ จากนั้นคนในเรือได้ใช้โทรโข่งประกาศเสียงดังให้ตนนำเรือถอยห่างออกไปประมาณ 500 เมตร ทำให้เชื่อว่าคราบน้ำมันที่ไหลเป็นระยะทางยาวในทะเล น่าจะเกิดจากการรั่วซึมบริเวณรอยข้อต่อท่อน้ำมัน จนทำให้น้ำมันดิบลอยบนผิวน้ำ แต่ในครั้งนี้มีจำนวนไม่มากเหมือนปี 2556 ซึ่งตนก็เป็นคนเจอคนแรกขณะนำเรือออกไปกู้ลอบปลา แต่ครั้งนั้นไม่ได้นำโทรศัพท์มือถือติดตัวไปจึงไม่มีภาพบันทึกไว้เป็นหลักฐาน
**เจ้าท่าเร่งรวบรวมหลักฐานดำเนินคดี
ล่าสุดวันนี้ (16 พ.ค.) น.ต.อภิชัย คล้ายแก้ว ผู้อำนวยการสำนักงานเจ้าท่าภูมิภาค สาขาระยอง เปิดเผยเกี่ยวกับกรณีดังกล่าว ว่า จากการตรวจสอบเบื้องต้นในช่วงเวลาดังกล่าวมีเรือบรรทุกน้ำมันดิบ ชื่อ MELODY สัญชาติ ไลบีเรีย ขนาด 156,975 ตันกรอส จอดลอยลำนอกชายฝั่ง ขนถ่ายน้ำมันดิบโดยท่อส่งขึ้นฝั่งให้กับ 2 บริษัท ซึ่งเป็นจุดเดียวกันกับ ที่เกิดเหตุท่อส่งน้ำมันดิบขนาด 16 นิ้ว กลางทะเล ของบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC ทำให้น้ำมันดิบไหลทะลักออกสู่ทะเลประมาณ 50-70 ตัน เมื่อเดือนกรกฎาคม 2556 ที่ผ่านมา
"ขณะนี้เรือลำดังกล่าวได้เดินทางออกนอกน่านน้ำไทยไปแล้ว แต่ทางเจ้าหน้าที่กำลังอยู่ระหว่างรวบรวมหลักฐานภาพถ่ายคราบน้ำมันดิบ เรือ เพื่อแจ้งความดำเนินคดีเรือบรรทุกน้ำมันดิบลำดังกล่าวที่ สภ.มาบตาพุด ต่อไป"
*** ‘พีทีทีจีซี-พีเอสอาร์ซี’ ร่วมโหลดน้ำมันดิบ
ด้าน น.ส.นลินี กาญจนามัย ผู้อำนวยการสำนักงานท่าเรือมาบตาพุด กล่าวว่า บริเวณที่ชาวประมงพบคราบน้ำมัน อยู่ห่างจากฝั่ง 10 กว่าไมล์ทะเล อยู่ในความรับผิดชอบของสำนักงานเจ้าท่าภูมิภาค สาขาระยอง แต่ก็จะช่วยกันตรวจสอบคราบน้ำมันดังกล่าว โดยได้สั่งการให้เรือตรวจการณ์ของท่าเรือมาบตาพุด ออกสำรวจคราบน้ำมันบริเวณชายฝั่งตลอดแนว ซึ่งขณะนี้ ยังไม่พบคราบน้ำถูกคลื่นซัดเข้าชายหาดแต่อย่างใด
ทั้งนี้ จากการประสานไปยังผู้บริหารบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด มหาชน หรือ PTTGC (พีทีทีจีซี) เบื้องต้นทราบว่า เมื่อวันที่ 13 - 15 พฤษภาคม ร่วมกับบริษัท สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ SPRC โหลดน้ำมันดิบจากเรือบรรทุกน้ำมันต่างชาติ ที่ลอยลำอยู่ห่างจากฝั่ง 12 ไมล์ทะเล ขึ้นฝั่ง โดยทางบริษัทฯได้มีมาตรการดำเนินงานตามปกติ
*** ‘พีทีทีจีซี’ยันไม่พบคราบน้ำมันดิบ
บริษัท พีทีที โกลบอลเคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC ได้ชี้แจงเพิ่มเติมถึง กรณีที่มีผู้พบคราบน้ำมันลักษณะเป็นฝ้าน้ำมันลอยเหนือผิวน้ำใกล้กับเรือน้ำมันขนาดใหญ่ที่กำลังขนถ่ายน้ำมัน ว่า จากการตรวจสอบหน้างานในช่วงการขนถ่ายน้ำมันดิบระหว่างวันที่ 12-15 พฤษภาคม 2560 ไม่พบความผิดปกติและไม่พบคราบน้ำมันดิบ อันเนื่องมาจากกิจกรรมขนถ่ายน้ำมันดิบแต่อย่างใด
บริษัทฯ ขอยืนยันว่า ในการปฏิบัติงาน บริษัทฯ มีการตรวจสอบก่อนเริ่มขนถ่ายและระหว่างการขนถ่าย ตามมาตรการขนถ่ายน้ำมันดิบกลางทะเลอย่างเคร่งครัด โดย มีการจัดเรือเฝ้าระวังระหว่างการขนถ่ายน้ำมันดิบ ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความปลอดภัยสูงสุด กับผู้ปฏิบัติงาน และเรืออื่น ๆ ที่อาจผ่านเข้ามาในบริเวณที่มีการขนถ่ายน้ำมันดิบ
นายเครา ชาวบ้านเกาะเสม็ด เล่าว่า หลังทราบข่าวว่ามีน้ำมันรั่วไหลลงทะเลอีกแล้ว จึงรีบไปดูตามริมหาดทราย เพราะเกรงว่าจะเกิดเหตุซ้ำรอย บริเวณรอยข้อต่อท่อน้ำมัน จนทำให้น้ำมันดิบลอยบนผิวน้ำ เช่นเดี่ยวกับเมื่อเดือนกรกฎาคม 2556 ที่ผ่านมา
“ตอนนี้รู้สึกโล่งใจ ที่ครั้งนี้น้ำมันที่รั่วไหล อาจจะมีจำนวนไม่มากเท่าใด จึงไม่เกิดผลกระทบเป็นวงกว้าง แต่ก็อยากจะฝากเตือนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้มีการตรวจสอบ และวางมาตรการการป้องกันให้รัดกุมมากกว่าที่เป็นอยู่ เพราะครั้งนี้โชคดีที่ส่งกระทบไม่มากหนัก แต่หากมีครั้งต่อๆไปอีก และไม่โชคดีแบบนี้ความเสียหายที่เกิดขึ้นคงจะมากมหาศาลอย่างแน่นอน”
นายมนู จินดานนท์ อายุ 65 ปี ประธานกลุ่มประมงเรือรบหลวงประแสร์ หมู่ 1 ต.ปากน้ำประแสร์ เล่าว่า ตั้งแต่ปี 56 กลุ่มประกลุ่มประมงเรือเล็ก กำลังประสบปัญหาจับสัตว์น้ำไม่ค่อยได้ ไม่ว่าจะเป็นปูม้า ปลา หรือสัตว์น้ำชนิดอื่น ไม่เหมือนกับช่วงก่อนปี 56 ที่จับได้กันค่อนข้างมาก
“ทุกวันนี้ตนต้องประกาศขายเรือ หันมากู้เงินต่อรถจักรยานยนต์พ่วงข้าง รับจ้างหากินไปวันๆ จึงฝากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนโดยเร็ว”
ขณะที่นายบรรเจิด ล่วงพ้น ประธานกลุ่มโบสถ์ญวน ก็กล่าวในทำนองเดียวกันว่า ระยะหลังสมาชิกกลุ่มเรือลากหมึก ต้องวิ่งเรือออกไปหากินไกล 20 - 50 ไมล์ทะเล ไปถึงจันทบุรี ตราด พัทยา ชลบุรี เพราะใกล้ฝั่งหากินไม่ได้แล้ว มันไม่มีสัตว์น้ำหลงเหลือให้จับอีก ต้องเสี่ยงชีวิตออกไปหากินในทะเล เมื่อเร็วๆนี้ถูกคลื่นซัดเรือจมเสียหายไป 1 ลำ ฝากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องลงมารับฟังปัญหากลุ่มประมงพื้นบ้านเรือเล็กบ้าง ให้สมกับนโยบายไทยแลนด์ 4.0
สำหรับบริษัท สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ SPRC เป็นบริษัทมหาชนจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย มี CHEVRON SOUTH ASIA HOLDINGS PTE LTD เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ จำนวน 2,625,888,656 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 60.56% และบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) 234,562,369 หุ้น คิดเป็น 5.41% ส่วนที่เหลือเป็นผู้ถือหุ้นรายย่อย