ขณะที่ความพยายามอาศัยฉากสถานการณ์ความตึงเครียดในคาบสมุทรเกาหลี “เข็นถาด”... หรือเข็น “ระบบป้องกันขีปนาวุธ ณ พื้นที่สุดท้ายในระดับสูง” (Terminal High Altitude Area Defense-THAAD) เข้าไปไว้ในเกาหลีใต้ แถมยังออกปากคิดจะขอค่าติดตั้งมูลค่า 1,000 ล้านดอลลาร์จากรัฐบาลเกาหลีใต้ซะอีกต่างหาก ทำท่าว่าอาจจะ “เหี่ยวปลาย” หรือไม่ อย่างไร ก็ยังไม่แน่ หลังจากปวงชนชาวเกาหลีใต้ตัดสินใจเลือก “นายมุน แจ-อิน” ผู้ไม่เห็นด้วยกับระบบป้องกันขีปนาวุธชนิดนี้มาตั้งแต่แรกขึ้นเป็นประธานาธิบดี ผู้นำอเมริการายใหม่อย่าง “ทรัมป์บ้า” ก็ได้โอกาสไปเยือนซาอุดีอาระเบียอย่างเป็นทางการ ในช่วงวันศุกร์ที่ 19 พ.ค.ที่จะถึงนี้....
และจากข่าวคราวที่ “เอเอสทีวี-ผู้จัดการ” ถ่ายทอดต่อมาจากสำนักข่าวรอยเตอร์และอีกหลายๆ สำนักข่าว...ปรากฏให้เห็นไปในแนวเดียวกันประมาณว่า ก่อนหน้าการเดินทางไปเยือนประเทศอภิมหาเศรษฐีน้ำมันและพันธมิตรรายสำคัญของอเมริการายนี้ อเมริกาและซาอุฯ ได้บรรลุข้อตกลงอย่างเป็นทางการแล้วว่า รัฐบาลซาอุฯ ได้ตัดสินใจสั่งซื้ออาวุธล็อตใหญ่จากอเมริกาเป็นมูลค่าไม่น้อยไปกว่า 100,000 ล้านดอลลาร์หรือตกประมาณ 3 ล้านล้านบาท สูงกว่างบประมาณทั้งหมดของประเทศไทยในตลอดทั้งปีไปเกือบล้านล้านบาท แถมในระยะยาว...หรือในระยะต่อเนื่องไปอีก 10 ปีข้างหน้า มูลค่าการสั่งซื้ออาวุธที่ผลิตจากอเมริกาของซาอุฯ อาจพุ่งขึ้นไปถึง 300,000 ล้านดอลลาร์ หรือไม่น้อยกว่า 9 ล้านล้านบาท พอๆ กับงบประมาณประเทศไทยตลอดช่วง 4 ปี 5 ปี เอาเลยทีเดียว...
ไม่เพียงเท่านั้น...ยังมีข่าวตามมาอีกด้วยว่า อเมริกายังได้เร่ขายจรวด “Patriot Pac-3” ให้กับประเทศบริวารของซาอุฯ อย่าง “UAE” หรือสหพันธรัฐอาหรับเอมิเรสต์ไปเรียบโร้ยย์ย์ย์แล้ว ในมูลค่าไม่ต่ำกว่า 2,000 ล้านดอลลาร์ แถมรัฐบาลซาอุฯ ยังพยายามเอาอกเอาใจอเมริกายิ่งขึ้นไปกว่านั้นอีก ด้วยการประกาศจะลงทุนในกิจการโครงสร้างขั้นพื้นฐานในสหรัฐฯ มูลค่าประมาณ 40,000 ล้านดอลลาร์ อันเนื่องมาจากแรงจูงใจในทางธุรกิจ หรือแรงจูงใจในทางการเมือง โดยเฉพาะหลังจากที่ “ทรัมป์บ้า” ประกาศเอาปูนหมายหัวอิหร่าน คู่กัดรายสำคัญของซาอุฯ แบบชนิดตรงไป-ตรงมา ไม่ต้องเสียเวลา “แอบจิต” แบบรัฐบาล “โอมาบ้า” หรือไม่ อย่างไร ก็สุดจะคาดเดาได้...
แต่ที่แน่ๆ ก็คือ...ท่ามกลางบรรยากาศความตึงเครียดทางทหาร การรบราฆ่าฟันระหว่างมวลมนุษย์ด้วยกันอย่างไม่มีที่สิ้นสุดเช่นนี้ ประเทศที่ทำมาหารับประ(แ-ก)ทานกับ “สงคราม” มาโดยตลอดอย่างสหรัฐอเมริกา หรือประเทศที่พยายามฟื้นฟูความล้มเหลวทางเศรษฐกิจของตัวเองด้วยกรรมวิธีการกระตุ้นเศรษฐกิจแบบที่เรียกว่า “ลัทธิเคนเนเชียนทางทหาร” (Military Keynesianism) ก็ดูจะไม่ได้ลังเลอะไรเอาเลยแม้แต่น้อย ในความพยายาม “จุดไฟสงคราม” เอาไว้ในพื้นที่ต่างๆ ในโลกนี้ เพื่ออาศัยสงครามแต่ละรูป แต่ละแบบ เป็นตัวประคับประคองตัวเองให้อยู่รอดปลอดภัย โดยไม่จำเป็นต้องสนใจกับเลือดเนื้อ หยาดน้ำตา ชีวิตของมวลมนุษย์ผู้บริสุทธิ์ ผู้ไม่รู้อีโหน่อีเหน่แต่อย่างใด...
และคงไม่ใช่แค่เฉพาะคุณพ่ออเมริกาเพียงรายเดียวเท่านั้น...ประเทศที่พยายามลอกเลียนแบบตามมาติดๆ ในช่วงหลังๆ นี้ ก็คือคุณน้าอังกฤษ พันธมิตรผู้ยืนหยัดเคียงบ่าเคียงไหล่กับอเมริกามาโดยตลอดนั่นเอง โดยอาศัยประเทศลูกค้ากลุ่มเดียวกับอเมริกานั่นแหละ คือซาอุดีอาระเบียและบริวาร ว่ากันว่า...นับจากรัฐบาลซาอุฯ ได้ตัดสินใจนำกำลังกองทัพพันธมิตรในตะวันออกกลางเข้าเล่นงาน โจมตีประเทศเล็กๆอย่างเยเมนตั้งแต่เดือนมีนาคม ปี ค.ศ. 2015 แม้จะเป็นการโจมตีที่ละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศอย่างเห็นได้ชัดเจน แถมนับวันจะก่อให้เกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชนระดับร้ายแรงเอามากๆ ถึงขั้นไม่ต่างไปจาก “อาชญากรสงคราม” เอาเลยก็ว่าได้ แต่ด้วยเหตุเพราะ “สงครามเยเมน” นี่เอง ที่ทำให้บริษัทผลิตอาวุธของอังกฤษ สามารถทำเงินรายได้ไม่น้อยกว่า 3.3 พันล้านปอนด์ หรือไม่ต่ำกว่า 4,120 ล้านดอลลาร์ นับแต่สงครามครั้งนี้อุบัติขึ้นมา ช่วยประคับประคองระบบเศรษฐกิจของอดีตนักล่าอาณานิคมรายนี้เอาไว้ได้มิใช่น้อย...
ที่หนักหนาสาหัสยิ่งไปกว่านั้นก็คือว่า...ในบรรดาอาวุธที่บริษัทอังกฤษได้ผลิตให้กับกองทัพซาอุฯ เอาไว้เข่นฆ่า ล้างผลาญ ทำลายมวลมนุษย์ในประเทศที่ได้ชื่อว่า “ยากจนที่สุดในโลก” อย่างเยเมนนั้น ประกอบไปด้วยอาวุธที่เรียกว่า “Cluster Munitions” หรือ “Cluster Bombs” หรือ “ระเบิดพวง” อะไรทำนองนั้น อันเป็นอาวุธที่รัฐบาลอังกฤษเอง ได้เคยร่วมลงนามไว้ในข้อตกลงที่เรียกว่า “International Treaty Banning” ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2012 ว่าเป็นอาวุธที่ไม่ควรนำมาใช้ หรือ “ห้ามใช้” ในการทำสงครามใดๆ ระหว่างมวลมนุษย์อีกต่อไป...
แต่ด้วยเหตุเพราะ “หน้ามืด” ด้วยเหตุเพราะต้องการ “เอาตัวรอด” จากภาวะเศรษฐกิจที่ตกสะเก็ดไปทั่วทั้งโลก หรือไม่ อย่างไร ก็มิอาจทราบได้ ตามหลักฐานที่องค์กรสิทธิมนุษยชน อย่าง “Amnesty International and Human Rights Watch” ได้นำเอามาเปิดเผยในช่วงต้นปี ค.ศ. 2016 ตีพิมพ์อยู่ในสื่ออังกฤษอย่าง “The Guardian” แสดงให้เห็นค่อนข้างชัดเจนว่า บริษัทอาวุธอังกฤษนี่เองที่เป็นผู้ผลิต “ระเบิดพวง” ให้กับกองทัพซาอุฯ เอาไปทิ้งใส่หัวกบาลพลเรือน เด็ก ผู้หญิง คนชรา ฯลฯ ในเยเมน จนจำนวนผู้บาดเจ็บล้มตายพุ่งขึ้นไปนับเป็นหมื่นๆ แสนๆ นั่นยังไม่รวมไปถึงจำนวนประชากรไม่ต่ำกว่า 18-19 ล้านราย ที่กำลังอดอยาก หิวโหย เพราะถูกกองทัพซาอุฯ ปิดล้อม แต่รัฐบาลอังกฤษกลับไม่ได้สนใจต่อ “อาชญากรรม” เหล่านี้เอาเลยเแม้แต่น้อย แม้อาชญกรรมที่ว่า กำลังส่งผลให้ “โศกนาฏกรรมครั้งร้ายแรงที่สุดของมวลมนุษยชาติ” ปรากฏอยู่ต่อหน้าต่อตาชาวโลก ณ ช่วงวินาทีนี้ก็ตาม...