**แน่นอนว่าข่าวคนร้ายลอบวางระเบิดแบบ"คาร์บอมบ์" ที่ห้างบิ๊กซี สาขาปัตตานี เมื่อตอนบ่าย วันที่ 9 พฤษภาคมที่ผ่านมา ทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บหลายสิบคน ย่อมสร้างความสลดหดหู่ให้กับคนไทยทั่วไปที่ได้เห็นความรุนแรงที่เกิดขึ้น ซึ่งคราวนี้มีผู้หญิงและเด็ก ประสบเคราะห์กรรมรวมอยู่ด้วยจำนวนมาก
เหตุการณ์ระเบิดดังกล่าว ซึ่งเกิดขึ้นกลางใจเมืองเป็นเขตเศรษฐกิจ ไม่ต้องบอกก็พอจะทราบดีว่าคนร้ายที่จงใจก่อเหตุมีเป้าหมายเพื่อทำลายความเชื่อมั่นและทำลายเศรษฐกิจและบรรยากาศการลงทุนในพื้นที่ อีกทั้งยังต้องการดิสเครดิตฝ่ายรัฐ เป็นการแสดงให้เห็นว่า พวกเขายังมีพลังในการเคลื่อนไหวก่อการได้ทุกเวลาหากต้องการ
ขณะเดียวกันภาพความเสียหายจากการก่อเหตุในครั้งนี้ หากจะบอกว่านี่คือผลงานที่ต้องการแสดงต่อผู้สนับสนุนในต่างประเทศตามที่มีการระบุกันก่อนหน้านี้อยู่เสมอก็ต้องบอกว่า พวกเขาทำงานได้ผลไม่น้อย
สำหรับการก่อเหตุรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ทั้งการลอบยิงเข้าหน้าที่ของรัฐ ลอบทำร้ายเป้าหมายอ่อนแอ เช่น ครู พระสงฆ์ ในระยะหลังเกิดขึ้นบ่อยครั้งกว่าเดิม การลอบวางระเบิดรถยนต์ รถจักรยานยนต์ ระเบิดเสาไฟฟ้า และเผายางรถยนต์ เริ่มเกิดขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งหากเทียบกับในอดีตในช่วงหลายเดือนก่อนหน้านี้ที่สถานการณ์ความรุนแรงเริ่มลดลง เบาบางลงมากกว่าเดิม แต่ในช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมา กลับเห็นภาพความรุนแรงเกิดขึ้นถี่ยิบกว่าเดิม แม้ว่าในความรุนแรงดังกล่าวจะแตกต่างกับในช่วงปี 2547 และหลังจากนั้น เพราะในช่วงนั้น เป็นช่วงที่เป็น "พื้นที่สีแดง"เกือบทั้งหมด มวลชนแสดงความไม่พอใจ และไม่ไว้วางใจเจ้าหน้าที่รัฐ หมายความว่า หลายพื้นที่เจ้าหน้าที่ไม่สามารถเข้าไปได้ มวลชนไม่ให้ความร่วมมือ
แต่สถานการณ์และบรรยากาศในพื้นที่เวลานี้ถือว่าดีขึ้นกว่าในช่วงดังกล่าวมากนัก ชาวบ้านให้ความไว้วางใจ สังเกตได้จากเริ่มมี "สายข่าว" รายงานความเคลื่อนไหวของผู้ก่อความไม่สงบให้ทราบเป็นระยะ จึงไม่ต้องแปลกใจที่ระยะหลังจะได้เห็นเจ้าหน้าที่สนธิกำลังบุกเข้าตรวจค้น จับกุมผู้ต้องสงสัย และผู้ต้องหาตามหมายจับตามสถานที่กบดานจำนวนมาก ซึ่งส่วนใหญ่มาจาก "สาย" รายงาน หรือแจ้งเบาะแสให้ทราบ
อย่างไรก็ดี สถานการณ์กลับพลิกมาเป็นตรงกันข้าม มีการก่อเหตุรุนแรงแบบถี่ยิบกว่าเดิม และที่สำคัญเป็นการก่อเหตุที่เน้นเป้าหมายสำคัญ เช่น เขตเศรษฐกิจในใจกลางเมืองมากกว่าเดิม สะท้อนให้เห็นหลายอย่าง นั่นคือ"ศักยภาพ"ของกลุ่มผู้ก่อการเพิ่มมากขึ้นหรือไม่ เพราะการรุกคืบเข้ามาก่อเหตุในเมือง หรือพื้นที่"ชั้นใน" ซึ่งเป็นพื้นที่ป้องกันเข้มงวด มันก็ไม่ธรรมดา
อีกด้านหนึ่งฝ่ายเจ้าหน้าที่ป้องกัน "หละหลวม"กว่าเดิม "ขาดการบูรณาการ" ในมาตรการป้องกันหรือไม่ ทั้งที่ผ่านมาฝ่ายรัฐบาลได้ทุ่มเทกำลัง งบประมาณลงไปอย่างเต็มที่ และหากสังเกตให้ดีจะพบว่า ในยุคของแม่ทัพภาคที่ 4 คนปัจจุบันคือ พล.ท.ปิยวัฒน์ นาควานิช สถานการณ์ความรุนแรงเริ่มกลับมาอีกครั้ง และเริ่มขยายกลับเข้ามาในเขตเมือง ในพื้นที่เขตเศรษฐกิจมากกว่าเดิม
**ขณะเดียวกันในยุคที่ พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะ"หัวหน้าผู้แทนพิเศษ"ของรัฐบาล ซึ่งทำหน้าที่ประสานงานระหว่างหน่วยปฏิบัติงานในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งความหมายก็เหมือนกับเป็นรัฐมนตรีที่กำกับดูแลงานในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นตัวแทนรัฐบาล ขณะเดียวกันก็ต้องถามหาความรับผิดชอบจาก "พี่ใหญ่" พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ในฐานะรองนายกฯ ด้านความมั่นคงแบบชุดใหญ่ นาทีนี้ปฏฺิเสธไม่ได้เป็นอันขาด
คำถามก็คือ เมื่อทั้งสองคนลงมาทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ในจังหวัดชายแดนใต้ มีการประสานงานที่ดีขึ้นกว่าเดิม หรือมีปัญหาติดขัดอะไรหรือไม่ เป็นเพราะปมนามสกุล "นาควานิช" มาแต่เดิมหรือไม่ ขณะเดียวกันที่น่าสังเกตอีกประการหนึ่งก็คือ หลังจากที่ พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร ได้รับแต่งตั้งเป็น"หัวหน้าผู้แทนพิเศษ" ของรัฐบาลกลับไม่ค่อยได้เห็นบทบาทที่โดดเด่นอะไรเลย ระยะหลังเงียบหายเข้ากลีบเมฆไปเลย
**นี่คือข้อสังเกตเล็กๆ ที่ปรากฏให้เห็น พร้อมๆ กับสถานการณ์ความรุนแรงที่ย้อนกลับมา ซึ่งมันก็สะท้อนออกมาในมุมที่ว่า การทำงานของเจ้าหน้าที่รัฐเริ่มมีความหละหลวมหรือไม่ เพราะส่วนสำคัญมาจากการขาดเอกภาพในการทำงานของหน่วยงานหลักในพื้นที่หรือไม่ ซึ่งนาทีนี้เริ่มเห็นอาการแม่ทัพภาคที่ 4 กับหัวหน้าผู้แทนพิเศษฯที่อืดๆ เนือยๆ หรือไม่ !!
เหตุการณ์ระเบิดดังกล่าว ซึ่งเกิดขึ้นกลางใจเมืองเป็นเขตเศรษฐกิจ ไม่ต้องบอกก็พอจะทราบดีว่าคนร้ายที่จงใจก่อเหตุมีเป้าหมายเพื่อทำลายความเชื่อมั่นและทำลายเศรษฐกิจและบรรยากาศการลงทุนในพื้นที่ อีกทั้งยังต้องการดิสเครดิตฝ่ายรัฐ เป็นการแสดงให้เห็นว่า พวกเขายังมีพลังในการเคลื่อนไหวก่อการได้ทุกเวลาหากต้องการ
ขณะเดียวกันภาพความเสียหายจากการก่อเหตุในครั้งนี้ หากจะบอกว่านี่คือผลงานที่ต้องการแสดงต่อผู้สนับสนุนในต่างประเทศตามที่มีการระบุกันก่อนหน้านี้อยู่เสมอก็ต้องบอกว่า พวกเขาทำงานได้ผลไม่น้อย
สำหรับการก่อเหตุรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ทั้งการลอบยิงเข้าหน้าที่ของรัฐ ลอบทำร้ายเป้าหมายอ่อนแอ เช่น ครู พระสงฆ์ ในระยะหลังเกิดขึ้นบ่อยครั้งกว่าเดิม การลอบวางระเบิดรถยนต์ รถจักรยานยนต์ ระเบิดเสาไฟฟ้า และเผายางรถยนต์ เริ่มเกิดขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งหากเทียบกับในอดีตในช่วงหลายเดือนก่อนหน้านี้ที่สถานการณ์ความรุนแรงเริ่มลดลง เบาบางลงมากกว่าเดิม แต่ในช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมา กลับเห็นภาพความรุนแรงเกิดขึ้นถี่ยิบกว่าเดิม แม้ว่าในความรุนแรงดังกล่าวจะแตกต่างกับในช่วงปี 2547 และหลังจากนั้น เพราะในช่วงนั้น เป็นช่วงที่เป็น "พื้นที่สีแดง"เกือบทั้งหมด มวลชนแสดงความไม่พอใจ และไม่ไว้วางใจเจ้าหน้าที่รัฐ หมายความว่า หลายพื้นที่เจ้าหน้าที่ไม่สามารถเข้าไปได้ มวลชนไม่ให้ความร่วมมือ
แต่สถานการณ์และบรรยากาศในพื้นที่เวลานี้ถือว่าดีขึ้นกว่าในช่วงดังกล่าวมากนัก ชาวบ้านให้ความไว้วางใจ สังเกตได้จากเริ่มมี "สายข่าว" รายงานความเคลื่อนไหวของผู้ก่อความไม่สงบให้ทราบเป็นระยะ จึงไม่ต้องแปลกใจที่ระยะหลังจะได้เห็นเจ้าหน้าที่สนธิกำลังบุกเข้าตรวจค้น จับกุมผู้ต้องสงสัย และผู้ต้องหาตามหมายจับตามสถานที่กบดานจำนวนมาก ซึ่งส่วนใหญ่มาจาก "สาย" รายงาน หรือแจ้งเบาะแสให้ทราบ
อย่างไรก็ดี สถานการณ์กลับพลิกมาเป็นตรงกันข้าม มีการก่อเหตุรุนแรงแบบถี่ยิบกว่าเดิม และที่สำคัญเป็นการก่อเหตุที่เน้นเป้าหมายสำคัญ เช่น เขตเศรษฐกิจในใจกลางเมืองมากกว่าเดิม สะท้อนให้เห็นหลายอย่าง นั่นคือ"ศักยภาพ"ของกลุ่มผู้ก่อการเพิ่มมากขึ้นหรือไม่ เพราะการรุกคืบเข้ามาก่อเหตุในเมือง หรือพื้นที่"ชั้นใน" ซึ่งเป็นพื้นที่ป้องกันเข้มงวด มันก็ไม่ธรรมดา
อีกด้านหนึ่งฝ่ายเจ้าหน้าที่ป้องกัน "หละหลวม"กว่าเดิม "ขาดการบูรณาการ" ในมาตรการป้องกันหรือไม่ ทั้งที่ผ่านมาฝ่ายรัฐบาลได้ทุ่มเทกำลัง งบประมาณลงไปอย่างเต็มที่ และหากสังเกตให้ดีจะพบว่า ในยุคของแม่ทัพภาคที่ 4 คนปัจจุบันคือ พล.ท.ปิยวัฒน์ นาควานิช สถานการณ์ความรุนแรงเริ่มกลับมาอีกครั้ง และเริ่มขยายกลับเข้ามาในเขตเมือง ในพื้นที่เขตเศรษฐกิจมากกว่าเดิม
**ขณะเดียวกันในยุคที่ พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะ"หัวหน้าผู้แทนพิเศษ"ของรัฐบาล ซึ่งทำหน้าที่ประสานงานระหว่างหน่วยปฏิบัติงานในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งความหมายก็เหมือนกับเป็นรัฐมนตรีที่กำกับดูแลงานในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นตัวแทนรัฐบาล ขณะเดียวกันก็ต้องถามหาความรับผิดชอบจาก "พี่ใหญ่" พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ในฐานะรองนายกฯ ด้านความมั่นคงแบบชุดใหญ่ นาทีนี้ปฏฺิเสธไม่ได้เป็นอันขาด
คำถามก็คือ เมื่อทั้งสองคนลงมาทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ในจังหวัดชายแดนใต้ มีการประสานงานที่ดีขึ้นกว่าเดิม หรือมีปัญหาติดขัดอะไรหรือไม่ เป็นเพราะปมนามสกุล "นาควานิช" มาแต่เดิมหรือไม่ ขณะเดียวกันที่น่าสังเกตอีกประการหนึ่งก็คือ หลังจากที่ พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร ได้รับแต่งตั้งเป็น"หัวหน้าผู้แทนพิเศษ" ของรัฐบาลกลับไม่ค่อยได้เห็นบทบาทที่โดดเด่นอะไรเลย ระยะหลังเงียบหายเข้ากลีบเมฆไปเลย
**นี่คือข้อสังเกตเล็กๆ ที่ปรากฏให้เห็น พร้อมๆ กับสถานการณ์ความรุนแรงที่ย้อนกลับมา ซึ่งมันก็สะท้อนออกมาในมุมที่ว่า การทำงานของเจ้าหน้าที่รัฐเริ่มมีความหละหลวมหรือไม่ เพราะส่วนสำคัญมาจากการขาดเอกภาพในการทำงานของหน่วยงานหลักในพื้นที่หรือไม่ ซึ่งนาทีนี้เริ่มเห็นอาการแม่ทัพภาคที่ 4 กับหัวหน้าผู้แทนพิเศษฯที่อืดๆ เนือยๆ หรือไม่ !!