xs
xsm
sm
md
lg

เศรษฐีจีนแห่ซื้อกรีนการ์ดเข้าอยู่ในสหรัฐฯ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: โสภณ องค์การณ์

<b>จาเร็ด คุชเนอร์</b>
คนจีนแผ่นดินใหญ่มีเงินมากพอที่จะแสวงหาชีวิตใหม่ภายใต้สภาวะแวดล้อมมั่นคงปลอดภัย ลูกหลานได้รับการศึกษาดี มีอนาคตด้านการงาน ไม่ห่วงเรื่องปัญหาการเมือง ยังคงต้องการซื้อวีซ่าเข้าสหรัฐฯ และได้ใบเขียวสำหรับการอยู่อาศัยถาวร ทำงานหรือลงทุนในกิจการต่างๆ ได้ตลอดไป

มีเงิน 5 แสนดอลลาร์สหรัฐมั้ย เอาไปลงทุนในโครงการอสังหาริมทรัพย์แล้วได้วีซ่าแน่ นั่นเป็นโครงการ “อีบี-5” ของรัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งเปิดช่องทางให้คนแต่ละชาติเข้าสหรัฐฯ ได้บัตรเขียว 10,000 ราย ในแต่ละปี เป็นการชักชวนนักลงทุนให้เข้าไป เป็นแผนหาเงินเข้าประเทศนั่นเอง

คนไทยจะไปก็ได้ถ้าพร้อมเอาเงินมากขนาดนั้นไปลงทุนในสหรัฐฯ คนมีเงินถือว่าคุ้ม
เดี๋ยวนี้คนไทยมีเงินเยอะ เพียงแค่เงินไม่ถึง 20 ล้านบาทซื้อสิทธิในการอยู่อาศัยในสหรัฐฯ ได้ตลอดไปถือว่าเกินคุ้ม ถ้าไม่มีอะไรต้องห่วงในประเทศไทย ไปๆ มาๆ ก็ได้ แต่อย่าให้บัตรหมดอายุ

คนจีนยิ่งถือว่าคุ้มเพราะการย้ายออกจากจีนไปสหรัฐฯ ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญ ประเด็นหลักคือต้องการให้ลูกได้รับการศึกษาอย่างดีในสถาบัน มหาวิทยาลัยชั้นนำระดับโลกในสหรัฐฯ การซื้ออสังหาริมทรัพย์ถือเป็นการลงทุนในที่อยู่อาศัย ราคามูลค่าเพิ่มทุกปี เรียนจบก็ทำงานได้

เป้าหมายของคนมีเงินจากจีนคือออสเตรเลีย แคนาดา สหรัฐฯ ซึ่งตอบสนองความต้องการอนาคตการศึกษา การทำงานไม่มีปัญหาความมั่นคงด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม จากเดิมเงื่อนไขของการเข้าไปอยู่ออสเตรเลีย แคนาดา ไม่เข้มข้นมาก จึงเป็นเป้าหมายหลัก

จำนวนนักศึกษาจากประเทศจีนในมหาวิทยาลัยดังๆ ในสหรัฐฯ มีสัดส่วนเพิ่มเร็วมากโดยเฉพาะในมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด เอ็มไอทีสแตนฟอร์ด เยล ซึ่งถือว่าสุดยอด ค่าเรียนแพงแต่เศรษฐีจีนไม่ห่วง กลัวว่าจะไม่ได้เรียนมากกว่า จบมาหางานทำก็ง่ายทั้งในจีนและสหรัฐฯ

โครงการ อีบี-5 เริ่มตั้งแต่ปี 1990 นอกเหนือจากการเอาเงินไปลงทุนทำธุรกิจอื่นๆ เช่น เปิดร้านอาหาร มินิมาร์ท ร้านค้า สถานบริการเสริมความงาม คนไทยนิยมเปิดร้านอาหารในเมือง

ปัจจุบันนี้มีความต้องการวีซ่า อีบี-5 เป็นอย่างมาก ทำให้คนจีนต้องรอคิว รอโควตานานถึง 3 ปี ต่อไปคิวน่าจะนานกว่านี้ เมื่อเห็นความต้องการมาก ทำให้รัฐบาลสหรัฐฯ คิดเพิ่มค่าธรรมเนียม
เล็งตัวเลขเพิ่มแต่เบาะๆ จากครึ่งล้านเหรียญสหรัฐไปเป็น 1.35 ล้านดอลลาร์ กว่าเท่าตัว แม้กระนั้นก็ยังจะมีคนซื้อเพราะเศรษฐีจีนเกิดใหม่ทุกปี และเป็นการจ่ายครั้งเดียวก็อยู่ได้ตลอด

นับตั้งแต่ปี 2011 เป็นต้นมา คนใช้สิทธิประโยชน์จากโครงการนี้เป็นผู้โยกย้ายถิ่นที่อยู่จากจีนมากถึง 80 เปอร์เซ็นต์ เพราะการเติบโตของตัวเลขชนชั้นกลางในจีนเร็วมากนอกจากการศึกษา ก็เป็นเหตุผลด้านความมั่นคงของทรัพย์สิน ความมั่งคั่ง กลัวความผันผวนในจีนนั่นเอง

นอกจากนั้นเศรษฐีจีนยังหนีปัญหามลพิษเป็นพิษในเมืองใหญ่ โดยเฉพาะกรุงปักกิ่งซึ่งมีปัญหาการจราจรติดขัด ควันพิษอุตสาหกรรม และพายุทะเลทราย รวมทั้งความแออัดด้วย

ก่อนหน้านี้ผู้หญิงจีนนิยมอุ้มท้องจวนแก่เข้าสหรัฐฯ ไปเช่าคอนโดฯ บ้าน รอให้ได้คลอดลูก เพื่อที่จะให้ลูกได้สัญชาติอเมริกันและแม่ก็จะได้สิทธิพ่วงไปด้วย ทำให้เกิดธุรกิจบูมมาก ทางการต้องเข้ามากวดขันเรื่องหญิงจีนมีครรภ์แก่เข้าประเทศ การได้วีซ่านักท่องเที่ยวจึงไม่ง่ายอีกต่อไป

ล่าสุดมีข่าวฮือฮาเมื่อครอบครัว “คุชเนอร์” ซึ่งเป็นมหาเศรษฐียิวในนิวยอร์ก นักพัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ก็ได้หาประโยชน์จากโครงการนี้ด้วย โดยใช้การขายพื้นที่คอนโดฯ ในนิวเจอร์ซีเพื่อดึงดูดคนซื้อจากจีนด้วย เสนอขายอย่างเป็นล่ำเป็นสัน สร้างความฮือฮาปนความตื่นเต้นอย่างมาก

มีเสียงค่อนแคะนินทาประกอบด้วย ก็ไม่แปลก เพราะ “จาเร็ด คุชเนอร์” อดีตผู้บริหารคือลูกเขยหัวแก้วหัวแหวนของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์นั่นเอง เป็นสามีของอิวองกา สวยเริ่ดสุดๆ

จาเร็ด คุชเนอร์ รับตำแหน่งเป็นที่ปรึกษาอาวุโสของโดนัลด์ ทรัมป์ มีอิทธิพลในฐานะเป็นคนวงศ์ในตระกูล เข้านอกออกในทำเนียบขาวได้ เหมือนลูกสาวที่มีตำแหน่งด้วยแต่ไม่ขอรับเงินเดือน แม้กระนั้นคนอเมริกันยังนินทาว่าเธอจะทำงานอะไร แถมยังรู้เห็นเรื่องภายในอีกด้วย

อย่างว่านั่นแหละ การเป็นครอบครัวใหญ่ เรื่องเยอะ คนอยากมีส่วนได้ประโยชน์ยิ่งการเป็นครอบครัวผู้นำอันดับหนึ่งของโลก รวยแค่ไหนใช่ว่าจะเป็นกันได้ง่ายๆ ต้องตักตวงให้คุ้ม

การทำมาหากินกับคนจีนต้องการวีซ่าถือเป็นการทำมาค้าขายจากโครงการของรัฐตระกูลคุชเนอร์ก็ต้องใช้จังหวะนี้แหละ และยังได้ใช้ชื่อ “ทรัมป์” ในฐานะเป็นนิติบุคคลอีกด้วย

ไม่ผิดกฎหมาย แต่ดูไม่เหมาะสม แม้คุชเนอร์จะนำหุ้นในกิจการเข้าสู่การดูแลโดยทรัสต์ก็ตาม ก็ไม่ขาดตอนทั้งหมด ขณะที่คนในตระกูลคุชเนอร์ยังทำโครงการอสังหาริมทรัพย์อยู่

ยิ่งมีการโฆษณาเอ่ยอ้างโครงการโดยเชื่อมโยงกับทำเนียบขาวด้วยแล้วก็ยิ่งมีคำครหาหนักข้อ สื่อสหรัฐฯ โดยเฉพาะซีเอ็นเอ็นและพวกมองว่านี่เป็นประเด็นโอชะ เล่นข่าวได้นาน

แต่การประโคมข่าวเชิงลบก็ยังไม่สามารถเขย่าเก้าอี้ของทรัมป์ได้ การไม่แยกธุรกิจออกจากงานรัฐทำให้คนอเมริกันเริ่มชินและปลง มีเสียงค่อนแคะว่าทรัมป์อยู่ในรีสอร์ตส่วนตัวมากกว่าใช้เวลาทำงานในทำเนียบขาวด้วยซ้ำ ย้ายที่ไปเรื่อยตามความสะดวกเป็นการโฆษณาในสื่อฟรีๆ

เมื่อเป็นเจ้าของรีสอร์ตหลายแห่ง ก็หมุนเวียนเพื่อไม่ให้จำเจ สื่อทั้งหลายก็ตะลอนๆ ตามไป อยู่ที่ไหนก็ต้องบอกชื่อและภาพรีสอร์ต ทรัมป์ไม่แคร์ มองว่าเป็นผู้นำทำอะไรก็ได้ ไม่ผิดกฎหมาย

พ่อตาทำได้ ตระกูลลูกเขยย่อมทำได้เช่นกัน โครงการคอนโดฯ อาคารสูงเป็นตึกระฟ้าในนิวเจอร์ซีจึงได้ส่วนแบ่งจากเงินมหาศาลไหลออกจากจีนในช่วงที่ผ่านมา การทำเอกสารกรรมสิทธิ์ในงานซื้อขายเพื่อขอวีซ่าน่าจะสะดวกรวดเร็วเพราะเป็นเครือข่ายวงในนั่นเอง

นักการเมืองเริ่มเข้ามาตรวจสอบโครงการเอื้ออวยคนอยากได้ใบกรีนการ์ดเพราะอาจเป็นเรื่องของการฉ้อฉลได้ อย่างไรก็ตาม โครงการนี้ได้รับการต่ออายุไปจนถึงสิ้นเดือนกันยายนปีนี้

นั่นทำให้ตระกูลคุชเนอร์เร่งโหมการป่าวร้องให้นักลงทุนรีบซื้อไวๆ ถ้าช้ายอดเงินขั้นต่ำอาจเพิ่มมากกว่า 1 ล้านเหรียญ ถ้ามีกฎเข้มเพิ่มเติม ต้นทุนการเข้าไปอยู่อาศัยในสหรัฐฯ จะแพงกว่าเดิม

น้ำขึ้นให้รีบตัก ใครอยากไปอยู่ในสหรัฐฯ พร้อมใบเขียวก็อย่าช้า!
กำลังโหลดความคิดเห็น