เห็นข่าวคุณน้อง “ท็อป-วราวุธ ศิลปอาชา” ลูกชายของท่านอดีตนายกฯ “บรรหาร” ออกมาแถลงแก้ข่าวเรื่องเซ้งพรรค-ไม่เซ้งพรรค พรรคชาติไทยพัฒนา ในช่วงที่กระแสเลือกตั้งค่อยๆ เริ่มพัฒนาไปตามลำดับขั้น คงต้องสารภาพกันตรงๆ นั่นแหละว่า ออกจะเป็นอะไรที่ “แบ่บบ์บ์บ์แห้งง์ง์ง์” เอามากๆ คือมันคงเป็นไปได้ประมาณนี้นั่นแหละทั่น!!! สำหรับพรรคการเมือง นักการเมือง ในประเทศไทย ไม่ว่าจะปฏิรูปปฏิรูดกันไปในแนวไหน แบบไหน สุดท้าย...ทุกสิ่งทุกอย่าง ย่อมต้องวนไป-วนมาอยู่กับประเภท “เจ๊หน่อย” “เสี่ยหนู” “น้องท็อป” “พี่มาร์ค” ฯลฯ แล้วก็ไปสิ้นสุดกันตรงที่ “เอาทักษิณ” กับ “ไม่เอาทักษิณ” กันอีกจนได้...
คือจะหาอะไรแปลกๆ ใหม่ๆ ประเภท “มาบุญครอง” “มาครง” “มาครอง” อย่างที่พวกชาวฝรั่งเศสเพิ่งงัดเอามาสู้กับ “เลอ แปง” “เลอ เปน” “เลอ แปน” คงหายาก หาเย็นอยู่พอสมควร เพราะตัวเล่น ตัวละคร มันคงมีๆ อยู่แต่เพียงเท่านี้ คล้ายๆ กับสโมสรฟุตบอลเมืองไทยนั่นแหละ ที่หนีไม่พ้นต้องวนมา-วนไปอยู่กับบรรดานักการเมืองประจำจังหวัดซะเป็นหลัก ด้วยเหตุนี้...ถ้าหากตัวเลือก ตัวแทน มันยังไม่ได้เปลี่ยนหน้า เปลี่ยนตาไปจากเดิมๆ มากมายซักเท่าไหร่ โอกาสที่เจ๊โน่น เจ๊นี่ เสี่ยนั่น เสี่ยนี่ หรือบรรดาน้องๆ พี่ๆ ในแต่ละราย ล้วนแล้วแต่ต้อง “เสร็จป.ประยุทธ์” ย่อมมีโอกาสเป็นไปได้สูงเอามากๆ โดยเฉพาะเมื่อมองถึงช่วงระยะเวลาการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง ในแค่อีกปีกว่าๆ เท่านั้นเอง...
แน่ล่ะว่า...สำหรับ “ป.ประยุทธ์” นั้น อาจดูใหม่ ดูแปลก อยู่บ้างตามสมควร ถ้าหากมองถึงทิศทางการเมืองที่ถูก “ออกแบบ” เอาไว้ก่อนล่วงหน้า ว่าคงต้องหันไปอาศัย “การเมืองแบบ 2.0” (ประชาธิปไตยผสมผสานหรือประชาธิปไตยไม่เต็มใบ) เพื่อที่จะผลักดันประเทศไทยให้เดินหน้าไปสู่ความเป็น “ไทยแลนด์ 4.0” ให้จงได้ แต่ถ้าหากมองถึงตลอดช่วงระยะ 3 ปีที่ผ่านมา ภายใต้ “การเมืองแบบ 0.4” ความแปลก ความใหม่ของ “ป.ประยุทธ์” ก็อาจจะเป็นอะไรที่เก่าๆ เก็บๆ ไม่ถึงกับสดใส ซาบซ่า เหมือนช่วงแรกๆ ที่มาพร้อมคำมั่นสัญญาว่าจะนำ “แผ่นดินอันงดงาม” กลับคืนมาสู่ประเทศไทยให้จงได้ แม้จะยังพยายามครวญคราง เปล่งเสียงวิงวอน “ขอเธอจงไว้ใจ...และศรัทธา” อย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอก็ตาม แต่แค่ดูจาก “ผลโพล” อะไรต่อมิอะไรเหล่านี้ มันน่าจะลดฮวบๆ ฮาบๆ ลงไปมิใช่น้อย...
และถ้าหาก...ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมต้อง “เสร็จป.ประยุทธ์” ในขั้นตอนสุดท้าย อันเนื่องมาจากทิศทางการเมืองที่ถูกออกแบบเอาไว้แล้วล่วงหน้า หรือเนื่องมาจากบรรดาพรรคการเมือง นักการเมือง ที่ออกไปทาง “แบ่บบ์บ์บ์แห้งง์ง์ง์” ไปด้วยกันทั้งสิ้น ตัวของ “ป.ประยุทธ์” เองนั่นแหละ น่าจะลำบาก ยากเย็น ชนิดเลือดและน้ำตาแทบกระเด็น เพราะการบริหารจัดการบ้านเมืองภายใต้ระบบ “การเมืองแบบ 2.0” นั้น ยังไงๆ...มันย่อมยากซ์ซ์ซ์ซะยิ่งกว่า “การเมืองแบบ 0.4” ที่เคยดำเนินมาโดยตลอดไม่รู้กี่สิบ กี่ร้อยเท่า เผลอๆ...อาจต้องเปล่งวาจา “ผม...พอแล้ว” แค่ไม่กี่เดือน กี่ปี ไม่มีโอกาสใช้เวลาระดับ 8 ปีถึงจะตกผลึก อย่างที่ “ป๋าเปรม” ได้เคยแสดงให้เห็นเป็นตัวอย่าง...
แต่ก็อย่างว่านั่นแหละทั่น...เรื่องของบ้าน ของเมืองนั้น บางครั้ง บางครา จะไป “มองข้ามช็อต” ให้ยาวไกลเกินไปนัก มันอาจไม่ถึงกับสอดคล้องสภาพความจริงมากมายซักเท่าไหร่ อีกทั้งยังอาจก่อให้เกิดอาการห่อเหี่ยว โหยแห้ง โดยใช่เหตุ เพราะภายใต้สภาวะของการ “เกิดๆ-ดับๆ” อันเป็น “กฎสามัญลักษณะ” ของสรรพสิ่ง ที่มี “ความเปลี่ยนแปลง” เป็นนิรันดรกาลอย่างมิอาจปฏิเสธ มันมักจะเป็นตัวผลิต “ความจริงใหม่ๆ” พร้อมๆ กับผลิต “วีรบุรุษ” “วีรสตรี” หรือจะเรียกว่าอะไรก็แล้วแต่ แต่ถือเป็น “ผู้ซึ่งเหมาะสมสอดคล้องกับสถานการณ์” อุบัติขึ้นมาให้เห็นอย่างต่อเนื่องเป็นสายๆ...
ด้วยเหตุนี้...ในขณะที่อะไรต่อมิอะไร มันยังไม่ถึงกับชัดเจน แจ่มแจ้ง ยังมองไม่เห็น “แสงสว่าง” ที่ปลายอุโมงค์ หรือกลางอุโมงค์ ก็ตามแต่ ก็อย่าถึงกับต้องไปหงุดหงิด งุ่นงานจนเกินเหตุ ยึดมั่น ศรัทธา ในสิ่งที่เรียกว่า “ธรรมะ” เข้าไว้นั่นแหละเข้าท่าที่สุด ไม่ว่าการเมืองมันจะดำเนินไปในแบบ 0.4-2.0 หรือจะยกระดับขึ้นมาเป็น 4.0 หรือไม่ อย่างไร สิ่งที่มันมิอาจปฏิเสธได้โดยเด็ดขาด โดยเฉพาะในยุคนี้ สมัยนี้ ยุคที่โลกกำลังไหลเลื่อนจากภาวะ “โลกาธิปไตย” เข้าสู่ภาวะ “ธรรมาธิปไตย” อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้ “ธรรมะ” นั่นเอง...ที่สามารถนำใช้เป็น “คำตอบ” ในขั้นตอนสุดท้าย ไม่เพียงแต่เฉพาะ “สังคมไทย” เท่านั้น ยังหมายรวมถึง “สังคมโลก” ควบคู่ไปด้วย...