xs
xsm
sm
md
lg

แฉใบสั่งจัดการคุมสื่อ โยงก๊วนการเมือง"แม้ว-สุวัจน์"

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

**คนสื่อแฉ สปท. ยอมรับร่าง พ.ร.บ.คุมสื่อมีใบสั่งมา รู้ทั้งรู้ออกกฎหมายให้รัฐบาลหน้าใช้ ชี้"พิสิษฐ์ เปาอินทร์" หัวเรือใหญ่เรื่องออกพ.ร.บ. นับเป็นเรื่องบังเอิญที่"วิโรจน์ เปาอินทร์" เป็นรักษาการหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ส่วนคนที่เกลียดสื่อเข้าเส้นอย่าง"พล.อ.ธวัชชัย สมุทรสาคร" หนุน พ.ร.บ.เต็มเหนี่ยว เลือกตั้งครั้งใหม่ ลงสนามแน่พร้อม"สุวัจน์ ลิปตพัลลภ" หวั่นทำทั้งหมดเพื่อบิ๊กๆ เอง
มติที่ประชุมสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปแห่งชาติ(สปท.) ผ่านความเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ ส่งเสริมจริยธรรม และมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชน พ.ศ… ด้วยคะแนน 141 ต่อ 13 งดออกเสียง 17 เมื่อ 1 พฤษภาคม 2560 ท่ามกลางเสียงคัดค้านขององค์กรสื่อกว่า 30 องค์กร ที่ไม่เห็นด้วยกับ ร่าง พ.ร.บ.ฉบับดังกล่าว เนื่องจากสาระสำคัญคือการควบคุมสื่อมวลชนโดยภาครัฐ
แม้พล.อ.อ.คณิต สุวรรณเนตร ประธานกรรมาธิการสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ด้านการสื่อสารมวลชน จะตัดเรื่องใบอนุญาตประกอบวิชาชีพสื่อมวลชน และเรื่องของบทลงโทษปรับไม่เกิน 6 หมื่นบาท จำคุกไม่เกิน 3 ปี ออกไป แต่ยังคงไว้เรื่องสภาวิชาชีพสื่อมวลชนที่ยังให้มีปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เข้ามาร่วมเป็นกรรมการ
มติดังกล่าวได้สะท้อนถึงโครงสร้างภายในสปท.ได้เป็นอย่างดี ว่าสมาชิกส่วนใหญ่ได้รับการแต่งตั้งมาจากกลุ่มข้าราชการทหาร ตำรวจ และอดีตข้าราชการระดับสูง ภายใต้รัฐบาลของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ส่วนใหญ่ผ่านประสบการณ์ที่ต้องตอบคำถามสื่อมวลชนในเหตุการณ์ต่างๆ มาแล้ว
ดังนั้น ทัศนคติที่มีต่อสื่อมวลชนจึงเป็นไปในทางลบ แม้จะมี สปท.สายสื่ออยู่บ้าง แต่ถือว่าเป็นส่วนน้อย ไม่สามารถทัดทานเสียงส่วนใหญ่ได้
**"เราเคยเปิดอกคุยกับ สปท.ชุดปฏิรูปสื่อ ถึงเรื่องร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าว ท่านก็ทราบดีว่า สิ่งที่ท่านพยายามทำอยู่ในเวลานี้ ผลักดันให้เป็นกฎหมาย แต่คนที่จะใช้กฎหมาย น่าจะเป็นรัฐบาลถัดไปที่มาจากการเลือกตั้ง ทุกอย่างจะกลายเป็นการเข้าทางนักการเมืองที่จ้องจะหาทางควบคุมสื่ออยู่แล้ว แต่ท่านก็ต้องทำ เพราะเรื่องนี้มีใบสั่งมา ส่วนเราก็ยืนยันว่ายังคงคัดค้านเรื่องนี้ต่อไป" แหล่งข่าวจากองค์กรสื่อ กล่าว
เช่นเดียวกับการดึงเอาตัวแทนจากสื่อเข้าไปร่วมทำงานกับสปท.ชุดนี้ เพียงเพื่อแสดงให้สาธารณชนเห็นว่า ดำเนินการไปโดยรับฟังความคิดเห็นจากสื่อและมีสื่อร่วมเป็นคณะทำงาน แต่ในทางปฏิบัติแล้ว มีการปรับเปลี่ยนข้อเสนอต่างๆ ของสื่อมวลชนให้เป็นไปตามแนวทางที่เขาต้องการ
สำหรับพล.อ.อ.คณิต ทำหน้าที่ประธาน แต่ตัวจักรสำคัญของร่าง พ.ร.บ.นี้คือ พล.ต.ต.พิสิษฐ์ เปาอินทร์ รองประธาน ท่านนี้เคยดำรงตำแหน่งผู้บังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท.) มาก่อน และมีส่วนผลักดัน พระราชบัญญัติคอมพิวเตอร์ที่จะใช้ในกลางปีนี้
ชุดความคิดจึงเป็นไปในทางตีกรอบเพื่อป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้น แต่ในเรื่องของสื่อมวลชนนั้นเป็นเรื่องที่ต้องเข้าใจสื่อให้มากกว่านี้ วันนี้ท่านอาจไม่เห็นความสำคัญของสื่อมวลชน มองว่าสื่อมวลชนเป็นปัญหา อยากให้ท่านย้อนกลับไปว่า สื่อมวลชนได้ทำหน้าที่ตรวจสอบความไม่สุจริตในทุกรัฐบาล นำเสนอจนกระทั่งเกิดการเปลี่ยนรัฐบาล ทั้งที่เกิดจากสภาพการเมืองปกติ หรือมาจากสถานการณ์ที่ไม่ปกติ
ในวงการสื่อก็ทราบดีว่ารัฐบาลทหารส่วนใหญ่มักไม่ชอบสื่อ แต่อย่าลืมว่าท่านมาเพียงระงับเหตุแล้วก็ไป หากมีกฎหมายที่เอื้อต่อนักการเมืองปกติในการควบคุมสื่อ ต่อไปใครจะตรวจสอบนักการเมืองที่ไม่สุจริต
**"เราไม่อยากคิดเลยเถิดไป แต่ก็อดสงสัยไม่ได้เช่นกัน เพราะถ้าลองไปสำรวจชื่อนักการเมืองอาชีพในตอนนี้ก็พบว่า รักษาการหัวหน้าพรรคเพื่อไทย เป็น พล.ต.ท.วิโรจน์ เปาอินทร์"

**"ธวัชชัย"แค้นสื่อฝังใจ

อย่างไรก็ตาม ในวันที่มีการลงมติผ่านร่างกฎหมายสื่อมวลชนนั้น แม้จะทั้งเสียงสนับสนุนและคัดค้าน แต่ในวันดังกล่าวมีสมาชิกที่เห็นด้วยกับ ร่าง พ.ร.บ.ควบคุมสื่อ ที่แสดงความเห็นอย่างดุเดือดอย่าง พล.อ.ธวัชชัย สมุทรสาคร สมาชิกสปท. และอดีตแม่ทัพภาคที่ 2
"สื่อเป็นคนไทยหรือเปล่า ถ้าเป็นคนไทยต้องอยู่ในกฎหมายข้อบังคับของประเทศไทย อย่าไปเป็นอภิสิทธิ์ชนอยู่คณะเดียว"
"คนที่ไม่โดนผลกระทบกับสื่อ อาจไม่คิดอะไร บางคนอาจถูกกระทบ ผมทำงานในสนามมาทั้งชีวิต ทั้งรบราฆ่าฟัน ก็ทะเลาะกับสื่อตลอด"
**"ไม่ว่าสื่อออนไลน์ สื่ออะไรก็แล้วแต่ สิ่งพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ มีปัญหาหมด วันก่อนเปิดไลน์ดู พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส ไม่รู้ว่าอยากเล่นการเมืองหรือเปล่า ผมก็เคารพท่าน เป็นรุ่นพี่ รุ่น 7 ผมรุ่น 12 อยู่ดีๆไม่รู้เป็นอะไรมาด่าทหาร ว่าทหารมีพื้นที่ใหญ่โตในเมือง ไม่มีประโยชน์ เอาหินขว้างไปในค่ายถูกหัวพลเอกหมด พูดมาทำไม ผมไม่เข้าใจ ไอ้สื่อพวกนี้จริงๆ มันต้องจับไปยิงเป้า"
นับเป็นการสะท้อนถึงทัศนคติของสมาชิกสปท. ที่มีต่อสื่อมวลชน ซึ่งเคยถูกสื่อขุดคุ้ยอย่างหนัก ทั้งเรื่องส่วนตัวและการทำงานในช่วงที่ดำรงตำแหน่งแม่ทัพภาคที่ 2
ย้อนอดีตไปเมื่อปี 2554 ที่มีการปะทะกันระหว่างทหารไทยกับทหารกัมพูชา ในเรื่องข้อพิพาทพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร ที่ในเวลานั้นมองว่าโน้มเอียงไปในทางฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน แม้จะมีทหารและพลเรือนบาดเจ็บล้มตายจากการปะทะ อีกทั้งขณะนั้นเป็นรัฐบาลของพรรคประชาธิปัตย์ ที่อาจไม่ใช่สายตรงของ พล.อ.ธวัชชัย จนถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก รวมไปถึงสายสัมพันธ์ที่ดีกับผู้นำของประเทศเพื่อนบ้าน
รวมไปถึงหน้าที่การงานหลังจากที่เกษียณอายุราชการ ที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ แต่ก็ถูกตรวจสอบว่าคุณสมบัติไม่ผ่าน เนื่องจากเคยไปเป็นรองหัวหน้าพรรค และ สมัครส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ ในนามพรรคชาติพัฒนา ของนายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ
แต่ด้วยสายสัมพันธ์ของเตรียมทหารรุ่น 12 รุ่นเดียวกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคสช. พล.อ.ธวัชชัย จึงได้เข้ามาทำหน้าที่สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ(สปช.) ต่อเนื่องมาถึงสมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปแห่งชาติ(สปท.) ในปัจจุบัน

**ที่แท้ทำเพื่อตัวเอง

การที่ผู้มีอำนาจเร่งออกกฎหมายคุมสื่อนั้น ทราบดีว่าถ้ากฎหมายมีผลบังคับจริงๆ คงเป็นรัฐบาลสมัยหน้า ที่มาจากการเลือกตั้งจะได้ประโยชน์ ตอนนี้เริ่มตั้งข้อสังเกตกันว่ามีสมาชิก สปท.บางราย ลาออกเพื่อเตรียมตัวลงเลือกตั้งในครั้งต่อไปกันบ้างแล้ว
อย่างพล.อ.ธวัชชัย ก็เตรียมเล่นการเมืองในนามพรรคชาติพัฒนา ของนายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ มาตั้งแต่ปี 2557 เพราะเป็นคนโคราชด้วยกัน และถูกวางตัวให้เป็นปาร์ตี้ลิสต์ ลำดับที่ 1 แต่มีการยึดอำนาจจากรัฐบาลพรรคเพื่อไทยเสียก่อน แต่ก็ได้รับโอกาสจากเพื่อนร่วมรุ่นให้เข้ามาทำงานในสปท.
เชื่อว่ารอบนี้จะมีอดีตนายทหารหลายคนลงสมัครรับเลือกตั้ง ดังนั้นหากมี ร่าง พ.ร.บ.คุมสื่อฯ พ่วงติดมือมาด้วย ย่อมจะทำให้โอกาสถูกตรวจสอบจากสื่อมวลชนน้อยลง
**ที่จริงแล้วแม้ว่าในอนาคตสภานิติบัญญัติแห่งชาติจะเห็นชอบกฎหมายดังกล่าว แต่แนวทางในการคัดค้านขององค์กรสื่อ ก็ยังไม่หมดไป ทั้งการขอพึ่งความเป็นธรรมจากศาลรัฐธรรมนูญ หรือการพร้อมใจกันไม่เข้าร่วมเป็นสมาชิกในสภาวิชาชีพสื่อมวลชนแห่งชาติ เพื่อไม่ให้เป้าหมายของว่าที่นักการเมืองในอนาคตได้รับประโยชน์จากการไม่ถูกตรวจสอบโดยสื่อมวลชน
กำลังโหลดความคิดเห็น