ถ้านับการเปลี่ยนจากปีเก่าเป็นปีใหม่แบบดั้งเดิมของไทย ปีใหม่ได้เริ่มขึ้นในวันที่ 13 เมษายนที่ผ่านมา และไปสิ้นสุดในวันที่ 12 เมษายน 2561
ดังนั้น จากวันที่ 13 เมษายน 2560 ถึงวันที่ 12 เมษายน 2561 เป็นหนึ่งปีแห่งอนาคตของสรรพสัตว์ และสรรพสิ่ง ซึ่งจะมีอายุเพิ่มขึ้น 1 ปีเมื่อถึงวันที่ 12 เมษายน 2561 และในหนึ่งปีที่ว่านี้ จะมีอะไรเกิดขึ้นกับใคร และส่งผลดีหรือผลร้ายประการใด เป็นเรื่องของการคาดการณ์หรือการพยากรณ์ โดยใช้ศาสตร์แขนงต่างๆ และหนึ่งในบรรดาศาสตร์ซึ่งใช้ในการพยากรณ์ก็คือ โหราศาสตร์ โดยใช้วิชาดาราศาสตร์และวิชาสถิติมาประยุกต์ใช้ควบคู่กันเป็นเครื่องในการพยากรณ์ โดยการนำดวงดาวซึ่งโคจรอยู่ในท้องฟ้ามาเปรียบเทียบดวงดาวที่โคจรเวลาที่สรรพสัตว์และสรรพสิ่งได้ถือกำเนิด และปรากฏขึ้นเรียกว่า ดวงกำเนิด ถ้าเป็นดวงกำเนิดของคนก็นำเอาวัน เดือน ปี และเวลาเกิดมาคำนวณเป็นดวงชะตาหรือที่เรียกกันในภาษาพื้นบ้านทั่วๆ ไปว่าผูกดวงนั่นเอง
แต่ถ้าเป็นดวงของสรรพสิ่งก็ถือเอาวัน เดือน ปี และเวลาที่สิ่งนั้นๆ ถูกกระทำขึ้นมาเป็นดวงกำเนิด แต่เรียกว่า ดวงฤกษ์ และในปัจจุบันนิยมออกฤกษ์ก่อนเพื่อกำหนดวันในการทำกิจกรรม เช่น ฤกษ์ปลูกบ้าน และฤกษ์เปิดกิจการ เป็นต้น
โดยนัยดังกล่าวข้างต้น ดวงเมืองก็คือดวงพระฤกษ์ลงเสาหลักเมืองกรุงเทพฯ ซึ่งกำหนดขึ้นตรงกับวันอาทิตย์ที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2535 เวลา 06.54 น.
ในการคาดการณ์หรือพยากรณ์เหตุการณ์ในอนาคต หรือทำนายอดีตย้อนหลังในช่วงเวลานานเป็นปี ถ้าเป็นเหตุการณ์ในทางดีก็จะถือดาวพฤหัสบดีเป็นหลัก ถ้าเป็นไปในทางเสียหรือในทางร้าย ก็จะถือดาวเสาร์ราหู และมฤตยูเป็นหลัก
ในขณะนี้ ดาวเสาร์โคจรในเรือนมรณะเล็งดาวอังคาร และตรีโกณฑ์ราหู ศุกร์ และพุธจนถึงวันที่ 1 ธันวาคม 2560 ดังนั้น ในช่วงนี้จะส่งผลให้เกิดเหตุการณ์ในทางลบในด้านความมั่นคง เนื่องจากเล็งอังคารจึงทำให้มีการก่อวินาศกรรม และอาชญากรรมร้ายแรงเกิดขึ้นเป็นระยะๆ แต่จะลดลงเมื่อดาวเสาร์ย้ายเข้าสู่เรือนศุภะ และทับดาวพฤหัสบดีและเสาร์เดิม ประกอบดาวพฤหัสบดีโคจรเข้าเล็งลัคนาในปลายปี และคงอยู่จนถึงกลางปี 2561
ในขณะที่ดาวเสาร์โคจรในเรือนศุภะจากวันที่ 1 ธันวาคม 2560 เป็นเวลา 2 ปี 6 เดือน จะทำให้อากาศวิปริต มีทั้งน้ำท่วม และภัยแล้งเกิดขึ้นในปีเดียวกัน แต่ต่างสถานที่กัน เช่น น้ำท่วมในภาคกลาง และภาคเหนือตอนล่าง มีภัยแล้งในภาคตะวันออกและภาคใต้ฝั่งตะวันออก เป็นต้น
นอกจากดาวเสาร์ที่ส่งผลร้ายแล้ว ดาวราหูที่โคจรเข้าสู่ราศีกรกฎในช่วงปลายปีประมาณวันที่ 8 กันยายนเป็นต้นไป และอยู่ในราศีนี้เป็นเวลา 18 เดือน ก็จะส่งผลในทางลบ ทำให้ค่าเงินบาทผันผวนไม่แน่นอน แต่หนักไปในทางอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์ จึงทำให้ผู้ประกอบการเสี่ยงต่อการขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยน และผู้ที่มีหนี้ต่างประเทศ ก็จะจ่ายคืนด้วยเงินบาทเพิ่มขึ้นในวงเงินมูลหนี้เท่าเดิม เช่นเดียวกับที่เคยเกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2539-2540
ดวงดาวสุดท้ายที่จะให้ผลในทางลบก็คือ ดาวมฤตยูที่โคจรทับลัคนา และดาวอาทิตย์อยู่อีกหลายปี จะทำให้เกิดการสูญเสียที่ไม่คาดคิด และไม่เป็นที่ต้องการของคนไทยได้หลายประการ เช่น การสูญเสียบุคคลสำคัญ และการสูญเสียโบราณสถานล้ำค่าซึ่งเกิดจากภัยธรรมชาติเช่น แผ่นดินไหว เป็นต้น
ส่วนในด้านดี ดาวพฤหัสบดีที่จะเข้าทำมุมเล็งลัคนา และอาทิตย์ในช่วงปลายปี และจะคงอยู่ในตำแหน่งนี้เป็นเวลา 1 ปี ก็จะช่วยให้การเมืองของไทยดีขึ้น และมีโอกาสได้คนดีมีศีลธรรมเข้ามาปกครองประเทศ ส่งผลให้ประเทศไทยก้าวไกลทางด้านการปกครอง และทำให้ประชาชนได้รับการดูแลดีขึ้นในทุกด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในการศึกษา และความเป็นธรรมในสังคม เนื่องจากกระบวนการยุติธรรมได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้น แต่ก็อาจไม่เร็วเท่าที่ควรจะเป็น เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศที่เจริญแล้วทั้งหลาย ซึ่งมีศักยภาพในด้านต่างๆ โดยเฉพาะด้านบุคคลสูงกว่า หรือแม้กระทั่งประเทศที่มีศักยภาพในด้านอื่นด้อยกว่า แต่ในด้านบุคคลเหนือกว่า
อนึ่ง ในการพยากรณ์ดวงเมืองหรือดวงกิจการเพียงอย่างเดียว โดยมิได้นำเอาดวงชะตาของผู้ประกอบการมาดูควบคู่กัน ผลที่ได้จะมีความแม่นยำประมาณ 60-70% แต่ถ้าจะให้ผลที่ได้มีความแม่นยำสูงกว่านี้ ควรนำดวงผู้ประกอบการมาดูควบคู่กัน ผลที่ได้จะมีความแม่นยำประมาณ 80% ขึ้นไป
ด้วยเหตุนี้ ถ้าจะให้การคาดการณ์เกี่ยวกับดวงเมืองมีความแม่นยำยิ่งขึ้น ควรจะนำดวงของผู้นำรัฐบาลมาดูควบคู่กันไปด้วย จึงจะอนุมานสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งในด้านบวกและลบได้แม่นยำยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ โดยหลักการแล้ว ถึงแม้ดวงเมืองจะดี แต่ถ้าดวงผู้นำรัฐบาลไม่ดี ความดีที่จะเกิดขึ้นก็ด้อยค่าลงไป ในทางกลับกัน ถ้าดวงผู้นำรัฐบาลดี แต่ดวงเมืองไม่ดี สิ่งดีที่จะเกิดขึ้นก็ด้อยค่าลงเช่นกัน แต่ถ้าทั้งดวงเมืองและดวงผู้นำดี แน่นอนผลที่ได้ก็จะดี ในทางกลับกัน ถ้าทั้งดวงเมือง และดวงผู้นำไม่ดี ผลที่ได้ก็ไม่ดี เนื่องจากไม่มีการถ่วงดุลกัน และไม่มีการเสริมกันนั่นเอง
แต่อย่างไรก็ตาม ศาสตร์พยากรณ์ทุกแขนง รวมทั้งโหราศาสตร์มิใช่วิทยาศาสตร์ ดังนั้น ผลที่ได้เป็นเพียงการคาดการณ์โดยอาศัยทฤษฎีการพยากรณ์ของแต่ละศาสตร์ และสถิติที่เก็บรวบรวมไว้เท่านั้น ดังนั้น ผลที่ได้จึงไม่ถูกต้อง 100 เปอร์เซ็นต์ แต่ก็ใช้เป็นแนวทางดำเนินชีวิตได้ดีกว่าไม่มีอะไรนำทาง
ดังนั้น จากวันที่ 13 เมษายน 2560 ถึงวันที่ 12 เมษายน 2561 เป็นหนึ่งปีแห่งอนาคตของสรรพสัตว์ และสรรพสิ่ง ซึ่งจะมีอายุเพิ่มขึ้น 1 ปีเมื่อถึงวันที่ 12 เมษายน 2561 และในหนึ่งปีที่ว่านี้ จะมีอะไรเกิดขึ้นกับใคร และส่งผลดีหรือผลร้ายประการใด เป็นเรื่องของการคาดการณ์หรือการพยากรณ์ โดยใช้ศาสตร์แขนงต่างๆ และหนึ่งในบรรดาศาสตร์ซึ่งใช้ในการพยากรณ์ก็คือ โหราศาสตร์ โดยใช้วิชาดาราศาสตร์และวิชาสถิติมาประยุกต์ใช้ควบคู่กันเป็นเครื่องในการพยากรณ์ โดยการนำดวงดาวซึ่งโคจรอยู่ในท้องฟ้ามาเปรียบเทียบดวงดาวที่โคจรเวลาที่สรรพสัตว์และสรรพสิ่งได้ถือกำเนิด และปรากฏขึ้นเรียกว่า ดวงกำเนิด ถ้าเป็นดวงกำเนิดของคนก็นำเอาวัน เดือน ปี และเวลาเกิดมาคำนวณเป็นดวงชะตาหรือที่เรียกกันในภาษาพื้นบ้านทั่วๆ ไปว่าผูกดวงนั่นเอง
แต่ถ้าเป็นดวงของสรรพสิ่งก็ถือเอาวัน เดือน ปี และเวลาที่สิ่งนั้นๆ ถูกกระทำขึ้นมาเป็นดวงกำเนิด แต่เรียกว่า ดวงฤกษ์ และในปัจจุบันนิยมออกฤกษ์ก่อนเพื่อกำหนดวันในการทำกิจกรรม เช่น ฤกษ์ปลูกบ้าน และฤกษ์เปิดกิจการ เป็นต้น
โดยนัยดังกล่าวข้างต้น ดวงเมืองก็คือดวงพระฤกษ์ลงเสาหลักเมืองกรุงเทพฯ ซึ่งกำหนดขึ้นตรงกับวันอาทิตย์ที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2535 เวลา 06.54 น.
ในการคาดการณ์หรือพยากรณ์เหตุการณ์ในอนาคต หรือทำนายอดีตย้อนหลังในช่วงเวลานานเป็นปี ถ้าเป็นเหตุการณ์ในทางดีก็จะถือดาวพฤหัสบดีเป็นหลัก ถ้าเป็นไปในทางเสียหรือในทางร้าย ก็จะถือดาวเสาร์ราหู และมฤตยูเป็นหลัก
ในขณะนี้ ดาวเสาร์โคจรในเรือนมรณะเล็งดาวอังคาร และตรีโกณฑ์ราหู ศุกร์ และพุธจนถึงวันที่ 1 ธันวาคม 2560 ดังนั้น ในช่วงนี้จะส่งผลให้เกิดเหตุการณ์ในทางลบในด้านความมั่นคง เนื่องจากเล็งอังคารจึงทำให้มีการก่อวินาศกรรม และอาชญากรรมร้ายแรงเกิดขึ้นเป็นระยะๆ แต่จะลดลงเมื่อดาวเสาร์ย้ายเข้าสู่เรือนศุภะ และทับดาวพฤหัสบดีและเสาร์เดิม ประกอบดาวพฤหัสบดีโคจรเข้าเล็งลัคนาในปลายปี และคงอยู่จนถึงกลางปี 2561
ในขณะที่ดาวเสาร์โคจรในเรือนศุภะจากวันที่ 1 ธันวาคม 2560 เป็นเวลา 2 ปี 6 เดือน จะทำให้อากาศวิปริต มีทั้งน้ำท่วม และภัยแล้งเกิดขึ้นในปีเดียวกัน แต่ต่างสถานที่กัน เช่น น้ำท่วมในภาคกลาง และภาคเหนือตอนล่าง มีภัยแล้งในภาคตะวันออกและภาคใต้ฝั่งตะวันออก เป็นต้น
นอกจากดาวเสาร์ที่ส่งผลร้ายแล้ว ดาวราหูที่โคจรเข้าสู่ราศีกรกฎในช่วงปลายปีประมาณวันที่ 8 กันยายนเป็นต้นไป และอยู่ในราศีนี้เป็นเวลา 18 เดือน ก็จะส่งผลในทางลบ ทำให้ค่าเงินบาทผันผวนไม่แน่นอน แต่หนักไปในทางอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์ จึงทำให้ผู้ประกอบการเสี่ยงต่อการขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยน และผู้ที่มีหนี้ต่างประเทศ ก็จะจ่ายคืนด้วยเงินบาทเพิ่มขึ้นในวงเงินมูลหนี้เท่าเดิม เช่นเดียวกับที่เคยเกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2539-2540
ดวงดาวสุดท้ายที่จะให้ผลในทางลบก็คือ ดาวมฤตยูที่โคจรทับลัคนา และดาวอาทิตย์อยู่อีกหลายปี จะทำให้เกิดการสูญเสียที่ไม่คาดคิด และไม่เป็นที่ต้องการของคนไทยได้หลายประการ เช่น การสูญเสียบุคคลสำคัญ และการสูญเสียโบราณสถานล้ำค่าซึ่งเกิดจากภัยธรรมชาติเช่น แผ่นดินไหว เป็นต้น
ส่วนในด้านดี ดาวพฤหัสบดีที่จะเข้าทำมุมเล็งลัคนา และอาทิตย์ในช่วงปลายปี และจะคงอยู่ในตำแหน่งนี้เป็นเวลา 1 ปี ก็จะช่วยให้การเมืองของไทยดีขึ้น และมีโอกาสได้คนดีมีศีลธรรมเข้ามาปกครองประเทศ ส่งผลให้ประเทศไทยก้าวไกลทางด้านการปกครอง และทำให้ประชาชนได้รับการดูแลดีขึ้นในทุกด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในการศึกษา และความเป็นธรรมในสังคม เนื่องจากกระบวนการยุติธรรมได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้น แต่ก็อาจไม่เร็วเท่าที่ควรจะเป็น เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศที่เจริญแล้วทั้งหลาย ซึ่งมีศักยภาพในด้านต่างๆ โดยเฉพาะด้านบุคคลสูงกว่า หรือแม้กระทั่งประเทศที่มีศักยภาพในด้านอื่นด้อยกว่า แต่ในด้านบุคคลเหนือกว่า
อนึ่ง ในการพยากรณ์ดวงเมืองหรือดวงกิจการเพียงอย่างเดียว โดยมิได้นำเอาดวงชะตาของผู้ประกอบการมาดูควบคู่กัน ผลที่ได้จะมีความแม่นยำประมาณ 60-70% แต่ถ้าจะให้ผลที่ได้มีความแม่นยำสูงกว่านี้ ควรนำดวงผู้ประกอบการมาดูควบคู่กัน ผลที่ได้จะมีความแม่นยำประมาณ 80% ขึ้นไป
ด้วยเหตุนี้ ถ้าจะให้การคาดการณ์เกี่ยวกับดวงเมืองมีความแม่นยำยิ่งขึ้น ควรจะนำดวงของผู้นำรัฐบาลมาดูควบคู่กันไปด้วย จึงจะอนุมานสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งในด้านบวกและลบได้แม่นยำยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ โดยหลักการแล้ว ถึงแม้ดวงเมืองจะดี แต่ถ้าดวงผู้นำรัฐบาลไม่ดี ความดีที่จะเกิดขึ้นก็ด้อยค่าลงไป ในทางกลับกัน ถ้าดวงผู้นำรัฐบาลดี แต่ดวงเมืองไม่ดี สิ่งดีที่จะเกิดขึ้นก็ด้อยค่าลงเช่นกัน แต่ถ้าทั้งดวงเมืองและดวงผู้นำดี แน่นอนผลที่ได้ก็จะดี ในทางกลับกัน ถ้าทั้งดวงเมือง และดวงผู้นำไม่ดี ผลที่ได้ก็ไม่ดี เนื่องจากไม่มีการถ่วงดุลกัน และไม่มีการเสริมกันนั่นเอง
แต่อย่างไรก็ตาม ศาสตร์พยากรณ์ทุกแขนง รวมทั้งโหราศาสตร์มิใช่วิทยาศาสตร์ ดังนั้น ผลที่ได้เป็นเพียงการคาดการณ์โดยอาศัยทฤษฎีการพยากรณ์ของแต่ละศาสตร์ และสถิติที่เก็บรวบรวมไว้เท่านั้น ดังนั้น ผลที่ได้จึงไม่ถูกต้อง 100 เปอร์เซ็นต์ แต่ก็ใช้เป็นแนวทางดำเนินชีวิตได้ดีกว่าไม่มีอะไรนำทาง