วันนี้ (27 เม.ย.) ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีดำที่ อ.747/2558 ที่พนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 4 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายปิยะ จุลกิตติพันธ์ หรือ นายพงศธร บันทอน อายุ 48 ปี ในความผิดฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี และนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลอันเป็นเท็จ ตามประมวลกฎหมายอาญา ม.112 และพ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 ม.14 (3), (5)
คำฟ้องโจทก์ระบุว่า เมื่อวันที่ 27 ก.ค.56 ถึงวันที่ 28 พ.ย.56 จำเลยได้หมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระมหากษัตริย์รัชกาลปัจจุบัน โดยการโพสต์ข้อความหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ จำนวน 2 ข้อความ อยู่บนพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จำนวน 2 ภาพ ในบัญชีเฟซบุ๊กของจำเลย ที่ใช้ชื่อว่านายพงศธร บันทอน (SIAMAID)โดยเจตนาทำให้ประชาชนเสื่อมศรัทธา ไม่เคารพสักการะ จำเลยให้การปฏิเสธ ขอต่อสู้คดี
คดีนี้ศาลชั้นต้นพิเคราะห์แล้ว เห็นว่าโจทก์มีพนักงานสอบสวน และผู้ที่ตรวจสอบระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งได้รวบรวมพยานหลักฐานแจ้งความดำเนินคดี เบิกความว่ามีผู้โพสต์ข้อความที่อยู่บนพระบรมฉายาลักษณ์ แล้วนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ด้วยการนำลงไปโพสต์ในเฟซบุ๊ก ชื่อนายพงศธร บันทอน (SIAMAID)การกระทำดังกล่าวมีเจตนาให้ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลการหมิ่นเบื้องสูง ซึ่งปรากฏข้อเท็จจริงว่า มีผู้แชร์จำนวนมาก จึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14 (3), (5)
นอกจากนี้ยังฟังได้จากคำเบิกความจำเลยว่า เคยใช้เฟซบุ๊ก ระหว่างปี53-54 ส่วนที่จำเลยต่อสู้ว่า ได้แจ้งให้กูเกิลลบข้อความดังกล่าวไปแล้วนั้น จำเลยไม่ได้นำพยานอื่นมานำสืบให้ชัดเจน และการแจ้งให้ลบข้อความดังกล่าวนั้น ก็เป็นช่วงหลังเกิดเหตุแล้วประมาณ 1 ปี พยานหลักฐานของจำเลย จึงมีน้ำหนักน้อยไม่สามารถหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ได้
พิพากษาว่า จำเลยมีความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา ม.112 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 ม.14 (3), (5) ซึ่งเป็นการกระทำผิดกฎหมายหลายบทให้ลงโทษบทหนักสุด คือ ม.112 ให้จำคุก 9 ปี แต่คำให้การชั้นสอบสวน และพิจารณาเป็นประโยชน์อยู่บ้าง ลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลย 6 ปี
ต่อมาจำเลยได้ยื่นอุทธรณ์ โดยเมื่อวานนี้ (27เม.ย.) เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ เบิกตัวนายปิยะ จำเลยมาจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ซึ่งตลอดการพิจารณาคดี จำเลยไม่ได้รับการประกันตัว
ศาลอุทธรณ์ ตรวจสำนวนปรึกษากันแล้วเห็นว่า พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมามีน้ำหนักให้เห็นว่าจำเลยเป็นผู้จัดทำและนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ โดยใช้ชื่อนายพงศทอน บันทอน จึงเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่น และแสดงอาฆาตมาดร้ายต่อพระมาหากษัตริย์ ที่ศาลชั้นต้นพิพากษามานั้น ศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์จำเลยฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน ให้จำคุกจำเลย 6 ปี
คำฟ้องโจทก์ระบุว่า เมื่อวันที่ 27 ก.ค.56 ถึงวันที่ 28 พ.ย.56 จำเลยได้หมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระมหากษัตริย์รัชกาลปัจจุบัน โดยการโพสต์ข้อความหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ จำนวน 2 ข้อความ อยู่บนพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จำนวน 2 ภาพ ในบัญชีเฟซบุ๊กของจำเลย ที่ใช้ชื่อว่านายพงศธร บันทอน (SIAMAID)โดยเจตนาทำให้ประชาชนเสื่อมศรัทธา ไม่เคารพสักการะ จำเลยให้การปฏิเสธ ขอต่อสู้คดี
คดีนี้ศาลชั้นต้นพิเคราะห์แล้ว เห็นว่าโจทก์มีพนักงานสอบสวน และผู้ที่ตรวจสอบระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งได้รวบรวมพยานหลักฐานแจ้งความดำเนินคดี เบิกความว่ามีผู้โพสต์ข้อความที่อยู่บนพระบรมฉายาลักษณ์ แล้วนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ด้วยการนำลงไปโพสต์ในเฟซบุ๊ก ชื่อนายพงศธร บันทอน (SIAMAID)การกระทำดังกล่าวมีเจตนาให้ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลการหมิ่นเบื้องสูง ซึ่งปรากฏข้อเท็จจริงว่า มีผู้แชร์จำนวนมาก จึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14 (3), (5)
นอกจากนี้ยังฟังได้จากคำเบิกความจำเลยว่า เคยใช้เฟซบุ๊ก ระหว่างปี53-54 ส่วนที่จำเลยต่อสู้ว่า ได้แจ้งให้กูเกิลลบข้อความดังกล่าวไปแล้วนั้น จำเลยไม่ได้นำพยานอื่นมานำสืบให้ชัดเจน และการแจ้งให้ลบข้อความดังกล่าวนั้น ก็เป็นช่วงหลังเกิดเหตุแล้วประมาณ 1 ปี พยานหลักฐานของจำเลย จึงมีน้ำหนักน้อยไม่สามารถหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ได้
พิพากษาว่า จำเลยมีความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา ม.112 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 ม.14 (3), (5) ซึ่งเป็นการกระทำผิดกฎหมายหลายบทให้ลงโทษบทหนักสุด คือ ม.112 ให้จำคุก 9 ปี แต่คำให้การชั้นสอบสวน และพิจารณาเป็นประโยชน์อยู่บ้าง ลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลย 6 ปี
ต่อมาจำเลยได้ยื่นอุทธรณ์ โดยเมื่อวานนี้ (27เม.ย.) เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ เบิกตัวนายปิยะ จำเลยมาจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ซึ่งตลอดการพิจารณาคดี จำเลยไม่ได้รับการประกันตัว
ศาลอุทธรณ์ ตรวจสำนวนปรึกษากันแล้วเห็นว่า พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมามีน้ำหนักให้เห็นว่าจำเลยเป็นผู้จัดทำและนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ โดยใช้ชื่อนายพงศทอน บันทอน จึงเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่น และแสดงอาฆาตมาดร้ายต่อพระมาหากษัตริย์ ที่ศาลชั้นต้นพิพากษามานั้น ศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์จำเลยฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน ให้จำคุกจำเลย 6 ปี