นายภูมิพิทักษ์ กองแก้ว รองเลขาธิการกกต. ด้านกิจการบริหารกลาง แถลงว่า ที่ประชุม กกต. เห็นชอบร่างระเบียบการจัดแบ่งส่วนงาน และร่างระเบียบบริหารงานบุคคล (ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม) ตามที่สำนักงานเสนอ เพื่อปรับโครงสร้างของสำนักงาน รองรับกับภารกิจใหม่ที่จะเพิ่มขึ้นตามรธน. และจะเป็นการรองรับการทำงานในรูปแบบคณะกรรมการ (บอร์ด) ของกกต.ในอนาคต
สำหรับสาระสำคัญของร่างระเบียบทั้ง 2 ฉบับ จะกำหนดให้มีการเพิ่มสำนักขึ้นมาอีก 3 สำนักในโครงสร้าง ประกอบด้วย
1. สำนักบริหารทรัพยากรบุคคล ทำหน้าที่เกี่ยวกับการแต่งตั้งโยกย้ายบุคลากรที่ในอนาคตจะมีกรอบอัตรากำลังเพิ่มขึ้นเป็น 2,500 อัตรา จากปัจจุบันที่มีอยู่ 2,000 กว่าอัตรา
2. สำนักเทคโนโลยีและสารสนเทศ ซึ่งจะเป็นการยกฐานะงานด้านสารสนเทศที่อยู่ในสำนักนโยบายและแผนขึ้นมา เพื่อรอรับการขับเคลื่อนเทคโนโลยีทั้งหมดพัฒนาไปสู้ กกต.4.0
3. สำนักสนับสนุนงานสืบสวนสอบสวน ซึ่งจะทำหน้าที่คล้ายกรมสอบสวนคดีพิเศษ กองปราบปราม มีอำนาจพิเศษ สืบสวนสอบสวน การหาข่าว มีหน่วยเคลื่อนที่เร็ว สามารถลงพื้นที่สอบสวนคดีทุจริตการเลือกตั้งได้ทั่วประเทศ
นอกจากนี้ จะมีการปรับปรุงตำแหน่งให้เหมือนกับส่วนราชการ จากเดิมที่เป็นผู้บริหารระดับต้น กลาง และสูง ก็จะแบ่งเป็นประเภทวิชาการ และบริหาร โดยยกเลิกการทำงานเป็น 5 ด้านกิจการ และให้เลขาฯมอบงานให้รองเลขาฯทั้ง 5 คน รับผิดชอบดูแลงานในแต่ละสำนัก รวมถึงพื้นที่จังหวัด ซึ่งหลังจากนี้ทางสำนักกฎหมายก็จะทำการตรวจสอบก่อนส่งประกาศในราชกิจจานุเบกษา เพื่อมีผลบังคับใช้ จากนั้นก็จะมีระเบียบออกมารองรับอีกกว่า 30 ฉบับ เพื่อเกลี่ยอัตรากำลัง และเลขาฯซึ่งทำงานขึ้นตรงกับ กกต. ก็มาจะออกคำสั่งในการมอบงานให้รองเลขาฯ แต่ละคน
"การแบ่งโครงสร้างใหม่จะดีกว่าเดิม ทำให้ภารกิจชัดเจนขึ้น งานจะไม่ปะบนกัน และรวดเร็วมีประสิทธิภาพ และเมื่อกฎหมาย กกต.ออกมาที่จะต้องมีผู้ตรวจการเลือกตั้ง ก็สามารถใช้ได้กับโครงสร้างนี้ทันที โดยเฉพาะในช่วงที่มีการเลือกตั้ง หากเกิดเหตุก็สามารถลงพื้นที่ได้ทันที และมีบุคคลผู้รับผิดชอบที่สามารถรายงานเหตุได้ทันที"
นายภูมิพิทักษ์ ยังกล่าวกรณีการแต่งตั้งเลขาฯกกต.คนใหม่ ว่าที่ประชุมไม่ได้มีการพูดถึงเรื่องนี้ แต่เชื่อว่า นายอำพล วงศ์ศิริ ที่ กกต.มีมติ และผ่านกระบวนการสรรหา ก็ไม่น่าจะดำรงตำแหน่งได้ เนื่องจากจะขาดคุณสมบัติในเรื่องอายุที่กำหนดว่า จะต้องไม่เกิน 60 ปี ในวันสมัครเข้ารับการสรรหา แต่เบื้องต้นที่ทราบในขณะนี้ นายอำพลมีอายุเกิน 60 ปีแล้ว
สำหรับสาระสำคัญของร่างระเบียบทั้ง 2 ฉบับ จะกำหนดให้มีการเพิ่มสำนักขึ้นมาอีก 3 สำนักในโครงสร้าง ประกอบด้วย
1. สำนักบริหารทรัพยากรบุคคล ทำหน้าที่เกี่ยวกับการแต่งตั้งโยกย้ายบุคลากรที่ในอนาคตจะมีกรอบอัตรากำลังเพิ่มขึ้นเป็น 2,500 อัตรา จากปัจจุบันที่มีอยู่ 2,000 กว่าอัตรา
2. สำนักเทคโนโลยีและสารสนเทศ ซึ่งจะเป็นการยกฐานะงานด้านสารสนเทศที่อยู่ในสำนักนโยบายและแผนขึ้นมา เพื่อรอรับการขับเคลื่อนเทคโนโลยีทั้งหมดพัฒนาไปสู้ กกต.4.0
3. สำนักสนับสนุนงานสืบสวนสอบสวน ซึ่งจะทำหน้าที่คล้ายกรมสอบสวนคดีพิเศษ กองปราบปราม มีอำนาจพิเศษ สืบสวนสอบสวน การหาข่าว มีหน่วยเคลื่อนที่เร็ว สามารถลงพื้นที่สอบสวนคดีทุจริตการเลือกตั้งได้ทั่วประเทศ
นอกจากนี้ จะมีการปรับปรุงตำแหน่งให้เหมือนกับส่วนราชการ จากเดิมที่เป็นผู้บริหารระดับต้น กลาง และสูง ก็จะแบ่งเป็นประเภทวิชาการ และบริหาร โดยยกเลิกการทำงานเป็น 5 ด้านกิจการ และให้เลขาฯมอบงานให้รองเลขาฯทั้ง 5 คน รับผิดชอบดูแลงานในแต่ละสำนัก รวมถึงพื้นที่จังหวัด ซึ่งหลังจากนี้ทางสำนักกฎหมายก็จะทำการตรวจสอบก่อนส่งประกาศในราชกิจจานุเบกษา เพื่อมีผลบังคับใช้ จากนั้นก็จะมีระเบียบออกมารองรับอีกกว่า 30 ฉบับ เพื่อเกลี่ยอัตรากำลัง และเลขาฯซึ่งทำงานขึ้นตรงกับ กกต. ก็มาจะออกคำสั่งในการมอบงานให้รองเลขาฯ แต่ละคน
"การแบ่งโครงสร้างใหม่จะดีกว่าเดิม ทำให้ภารกิจชัดเจนขึ้น งานจะไม่ปะบนกัน และรวดเร็วมีประสิทธิภาพ และเมื่อกฎหมาย กกต.ออกมาที่จะต้องมีผู้ตรวจการเลือกตั้ง ก็สามารถใช้ได้กับโครงสร้างนี้ทันที โดยเฉพาะในช่วงที่มีการเลือกตั้ง หากเกิดเหตุก็สามารถลงพื้นที่ได้ทันที และมีบุคคลผู้รับผิดชอบที่สามารถรายงานเหตุได้ทันที"
นายภูมิพิทักษ์ ยังกล่าวกรณีการแต่งตั้งเลขาฯกกต.คนใหม่ ว่าที่ประชุมไม่ได้มีการพูดถึงเรื่องนี้ แต่เชื่อว่า นายอำพล วงศ์ศิริ ที่ กกต.มีมติ และผ่านกระบวนการสรรหา ก็ไม่น่าจะดำรงตำแหน่งได้ เนื่องจากจะขาดคุณสมบัติในเรื่องอายุที่กำหนดว่า จะต้องไม่เกิน 60 ปี ในวันสมัครเข้ารับการสรรหา แต่เบื้องต้นที่ทราบในขณะนี้ นายอำพลมีอายุเกิน 60 ปีแล้ว