xs
xsm
sm
md
lg

ข่าวดีเศรษฐกิจกับข่าวร้ายของมนุษยชาติ

เผยแพร่:   โดย: ทับทิม พญาไท

สมเด็จพระราชาธิบดี ซัลมาน บิน อับดุลอาซิซ อัล ซาอุด แห่งซาอุดีอาระเบีย
ไม่ว่าโลกจะเครียด-ไม่เครียดกันไปในระดับไหน อย่างไร...แต่ราคาน้ำมันช่วงนี้ ชักพุ่งเอาๆ ไม่ได้หัวตกเหมือนแต่ก่อน แถมไม่ได้พุ่งขึ้น-พุ่งลงเหมือนราคาทองอีกต่างหาก ถ้าเทียบกับช่วงต้นปีที่ผ่านมา ราคาน้ำมันช่วงเดือนมกราคมที่เคยอยู่แค่ประมาณ 20 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล แต่มาถึง ณ ขณะนี้ ช่วงเดือนเมษาฯ ราคาพุ่งขึ้นไปแตะระดับ 52 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หรือกว่าเท่าตัวเอาเลยถึงขั้นนั้น...

และถ้าว่ากันตามการประเมิน การคาดการณ์ของนักวิเคราะห์แห่ง “Citigroup” ที่ได้เปิดเผยกับสำนักข่าวบลูมเบิร์กเมื่อช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา แนวโน้มที่ราคาน้ำมันในช่วงครึ่งปีหลัง หรือนับตั้งแต่หลังเดือนเมษายนเป็นต้นไป จะขยับขึ้นไปถึง 62-65 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลโดยเฉลี่ย ทั้งนี้ โดยไม่ได้ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ความตึงเครียดของโลกมากมายซักเท่าไหร่นัก เพราะสิ่งที่นักวิเคราะห์จาก “Citigroup” ดูจะให้ค่ามากกว่า ก็คือความร่วมมือระหว่างประเทศกลุ่ม “OPEC” และ “non-OPEC” ที่สามารถบรรลุข้อตกลงในการช่วยฉุดกระชากลากถูให้ราคาน้ำมันซึ่งเคย “ตกจากหอคอย่น” ค่อยๆ ไต่ระดับสูงขึ้นเรื่อยๆ...

ภาวะราคาน้ำมันที่ค่อยๆ เขยิบขึ้นมาเกือบเท่า-สองเท่าเมื่อเทียบกับช่วงต้นปีนี่เอง ทำให้เกิดข่าวคราวอันแสดงออกถึงความลิงโลด ปลาบปลื้ม ยินดีของประเทศเจ้าพ่ออภิมหาเศรษฐีน้ำมัน อย่างซาอุดีอาระเบียตามมาติดๆ นั่นก็คือข่าวว่าด้วยกรณี กษัตริย์ “ซัลมาน อัล-ซาอุด” ได้ป่าวประกาศออกเป็นกฤษฎีกาให้ยกเลิกการปรับลดเงินเดือนและโบนัสของบรรดารัฐมนตรี ข้าราชการ ทหาร ฯลฯ ในซาอุฯ จากที่เคยถูกลด ถูกตัดลงไปประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์รวด เนื่องจากรายได้ประมาณ 90 เปอร์เซ็นต์ของประเทศ ที่ได้มาจากน้ำมัน เกิดอาการ “ติดลบ” ชนิดหวิดทำท่าว่าจะเจ๊งเอาง่ายๆ ตัวเลขขาดดุลบัญชีงบประมาณพุ่งขึ้นไปถึงระดับหมื่นล้าน แสนล้านดอลลาร์ ต้องหันมารัดเข็มขัดภายในประเทศตัวเอง แถมยังต้องขึ้นราคาน้ำมันภายในประเทศอย่างแทบไม่เคยมีมาในประวัติศาสตร์อีกต่างหาก...

อย่างไรก็ตาม...ท่ามกลางอาการปลอดโปร่งโล่งสบายอย่างเห็นได้ชัดของเจ้าพ่อน้ำมันรายนี้ กลับยิ่งทำให้ประเทศที่จนแสนจน แม้จะเป็นประเทศ “มุสลิม” ด้วยกัน อย่างประเทศ “เยเมน” ที่ถูกกองทัพรัฐบาลซาอุฯ และพันธมิตรบุกเข้าโจมตีเล่นงาน มาเป็นปีๆ กลับมีแต่จะยิ่งเจ็บปวดรวดร้าวหนักหนาสาหัสหนักขึ้นไปอีก โดยเฉพาะเมื่อกษัตริย์ซาอุฯ ประกาศจะเพิ่มเงินเดือน ค่าตอบแทนให้กับทหารซาอุฯ ที่ถูกส่งไปไล่ล่าเข่นฆ่าพวกกบฏและพลเรือนในเยเมนเพิ่มขึ้นไปอีก 2 เท่า สะท้อนให้เห็นถึงความโหดเหี้ยมอำมหิตที่ถูกยกระดับขึ้นไปพร้อมๆ กับภาวะราคาน้ำมันเอาเลยก็ว่าได้...

เพราะระหว่างกษัตริย์ซาอุฯ กำลังประกาศเพิ่มค่าตอบแทนให้ทหารซาอุฯ ในเยเมนอยู่นั้น เลขาธิการองค์การสหประชาชาติ “นายAntonio Guterres” ก็ได้จัดแถลงข่าวว่าด้วยเรื่อง “โศกนาฏกรรมครั้งร้ายแรงที่สุดของมนุษยชาติ” ขึ้นที่กรุงเจนีวา เมื่อวันที่ 25 เมษายนที่ผ่านมา ด้วยการเปิดตัวเลขสถิติอันน่าขนลุกขนพอง ประมาณว่า...ในทุกๆ 10 นาทีที่เข็มนาฬิกากระดิก จะมีเด็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบ ในประเทศเยเมนจะต้องตายไปจากโลกใบนี้ เพราะการขาดแคลนอาหารและยารักษาโรค... “นี่หมายถึงว่า ระหว่างที่เรากำลังแถลงข่าวอยู่ ณ ขณะนี้ เด็กๆ ชาวเยเมนได้ตายไปอีก 50 ราย ซึ่งเด็กๆ เหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ที่เราสามารถช่วยให้มีชีวิตรอดอยู่ได้ด้วยกันทั้งสิ้น” นั่นคือคำกล่าวอันสุดแสนรันทดหดหู่ของเลขาธิการสหประชาชาติ...

จากการแถลงข่าวคราวนี้...มีประเทศที่ร่วมควักเงินบริจาคให้ช่วยเหลือทางมนุษยธรรมประมาณ 1.1 พันล้านดอลลาร์ ขณะที่สหประชาชาติยังขาดเงินอยู่ประมาณ 2.1 พันล้านดอลลาร์ แต่นั่นยังไม่ถึงกับหนักหนาสาหัสเท่ากับการที่บรรดาเงินหรือสิ่งของที่ได้รับการบริจาค แทบไม่มีโอกาสถูกส่งไปถึงมือของประชากรชาวเยเมนประมาณ 2 ใน 3 ของประเทศ หรือเกือบๆ 19 ล้านคน ที่กำลังอดอยาก หิวโหย ตกอยู่ในภาวะเจียนอยู่ เจียนตายเต็มที และในจำนวนนี้ เป็นเด็กเล็กๆ ไม่น้อยไปกว่า 3 ล้านคน ทั้งนั้น ทั้งนี้...เนื่องจากกองทัพซาอุฯ ที่กำลังได้รับเงินตอบแทนเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า ได้จัดการปิดล้อมทำลายเมืองท่าทางยุทธศาสตร์ ที่แทบจะถือเป็นช่องทางเดียวในการนำความช่วยเหลือทางมนุษยธรรมไปถึงมือบรรดาชาวเยเมนทั้งหลาย นั่นคือเมืองท่า “Hodeidah” ในอ่าวเยเมน ที่ถูกระดมทิ้งระเบิดทำลายสิ่งอำนวยความสะดวกอย่างสะพานและถนน แม้แต่อุปกรณ์ที่ช่วยลำเลียงสัมภาระบริเวณท่าเรือ อย่างเครนแต่ละตัว ยังพังพินาศยับเยินเหลือเครนเพียงตัวเดียวติดท่าเรือแห่งนี้ ขณะเรือลาดตระเวนซาอุฯ นับสิบ ออกโอบล้อมปิดอ่าว ไม่อนุญาตแม้แต่ให้ชาวบ้าน ชาวช่องออกไปจับปู จับปลา ได้เลยแม้แต่น้อย...

ภายใต้ภาวะเช่นนี้...ทำให้ผู้อำนวยการองค์กร “UNICEF” อย่าง “Geert Cappe-laere” สรุปไว้ด้วยถ้อยคำสั้นๆ ง่ายๆ ว่า “ณ ขณะนี้...ไม่มีประเทศใดอีกแล้วในโลกนี้ ที่จะทุกข์ยากแสนสาหัสหนักไปกว่าเยเมน” ท่ามกลางความลิงโลด ยินดี ของประเทศผู้ค้าน้ำมันรายใหญ่ของโลกอย่างซาอุฯ ของบรรดานักเก็งกำไรทางเศรษฐกิจ ธุรกิจ อันเนื่องมาจากราคาน้ำมันทำท่าว่าจะฟื้นคืนกลับสู่ภาวะปกติ เลยแทบไม่ต่างอะไรไปจากความปลาบปลื้ม ยินดี ท่ามกลางเลือดเนื้อ และหยาดน้ำตาของมวลมนุษย์ด้วยกันเอง ภายใต้ “โศกนาฏกรรมที่ร้ายแรงที่สุดของมวลมนุษยชาติ” นั่นแล...
กำลังโหลดความคิดเห็น