นายวัลลภ ตังคณานุรักษ์ โฆษกคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณา ร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง สนช. แถลงผลการประชุมว่า คณะกมธ.ได้พิจารณาร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง มาตรา 16-22 โดยที่ประชุมยังติดใจใน มาตรา 17 ว่าด้วยการจดทะเบียนจัดตั้งพรรคการเมือง ซึ่งเดิมกำหนดให้พรรคการเมือง ต้องจัดทำข้อบังคับพรรคฯ ส่งให้คณะกรรมการการการการเลือกตั้ง (กกต.) หากมีข้อไม่สมบูรณ์ กกต.จะต้องส่งให้พรรคฯ แก้ไขให้เสร็จภายใน 30 วัน และหากทำไม่ทัน จะต้องมีโทษถึงยุบพรรคการเมืองดังกล่าว ซึ่งที่ประชุมคณะกมธ. เห็นว่า การกำหนดดังกล่าวไม่มีความเหมาะสม เพราะให้พรรคการเมืองมีเวลาน้อยเกินไป ที่ประชุมเห็นว่าควรแก้ไข เป็น 60 วัน และหากพรรคการเมืองทำไม่ทัน ก็สามารถขยายเวลาไปอีกได้ 30 วัน แต่ถ้ายังไม่แล้วเสร็จ จะต้องมีโทษถึงขั้นยุบพรรค เนื่องจากได้ให้เวลาแก้ไขถึง 90 วันแล้ว
นอกจากนี้ใน มาตรา 22 ว่าด้วยการกำหนดให้กรรมการบริหารพรรค ทำหน้าที่ควบคุมดูไม่ให้สมาชิกพรรคกระทำการอันเป็นการฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ กฎหมาย ข้อบังคับรวมทั้งตลอดระเบียบประกาศ ซึ่งที่ประชุมมีความเห็นว่า ในเฉพาะกรณีการควบคุมไม่ให้สมาชิกพรรคฝ่าฝืนกฎหมายนั้น มีความหมายที่กว้างเกินไปใน 2 ประเด็น คือ
1. คำว่า สมาชิกพรรค ในที่นี้หมายถึงสมาชิกพรรคทั้งหมด หรือเฉพาะสมาชิกพรรคบางประเภท เช่น สมาชิกพรรคที่จ่ายเงินค่าบำรุงพรรค หรือสมาชิกพรรค ที่ไม่ได้จ่ายเงินค่าบำรุงพรรค
2. คำว่าฝ่าฝืนกฎหมายในที่นี้กว้างเกินไป เพราะไม่มีความแน่ชัดจะครอบคลุมกฎหมายทั้งหมด หรือเฉพาะกฎหมายเกี่ยวกับการเลือกตั้ง หรือกฎหมายพรรคการเมือง ซึ่งในทั้งสองประเด็นนี้ ได้มอบให้สำนักงานคณะกรรมกฤษฎีกาไปปรับปรุงเนื้อหาให้ชัดเจน และนำเข้าสู่ที่ประชุมอีกครั้ง
นอกจากนี้ใน มาตรา 22 ว่าด้วยการกำหนดให้กรรมการบริหารพรรค ทำหน้าที่ควบคุมดูไม่ให้สมาชิกพรรคกระทำการอันเป็นการฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ กฎหมาย ข้อบังคับรวมทั้งตลอดระเบียบประกาศ ซึ่งที่ประชุมมีความเห็นว่า ในเฉพาะกรณีการควบคุมไม่ให้สมาชิกพรรคฝ่าฝืนกฎหมายนั้น มีความหมายที่กว้างเกินไปใน 2 ประเด็น คือ
1. คำว่า สมาชิกพรรค ในที่นี้หมายถึงสมาชิกพรรคทั้งหมด หรือเฉพาะสมาชิกพรรคบางประเภท เช่น สมาชิกพรรคที่จ่ายเงินค่าบำรุงพรรค หรือสมาชิกพรรค ที่ไม่ได้จ่ายเงินค่าบำรุงพรรค
2. คำว่าฝ่าฝืนกฎหมายในที่นี้กว้างเกินไป เพราะไม่มีความแน่ชัดจะครอบคลุมกฎหมายทั้งหมด หรือเฉพาะกฎหมายเกี่ยวกับการเลือกตั้ง หรือกฎหมายพรรคการเมือง ซึ่งในทั้งสองประเด็นนี้ ได้มอบให้สำนักงานคณะกรรมกฤษฎีกาไปปรับปรุงเนื้อหาให้ชัดเจน และนำเข้าสู่ที่ประชุมอีกครั้ง