ผู้จัดการรายวัน360-"บิ๊กป้อม"เสนอเงียบ ดันซื้อเรือดำน้ำ 1.35 หมื่นล้าน ผ่าน ครม.ฉลุย ส่ง ผบ.ทร. เดินทางเซ็นสัญญาซื้อขายเร็วๆ นี้ โฆษกรัฐบาล รับครม. อนุมัติแล้วจริง ที่ไม่ได้แถลง เพราะเป็นความลับ บอก "บิ๊กตู่" ย้ำถึงความจำเป็น ต้องมีไว้ป้องกันประเทศ ด้านที่ประชุมสภากลาโหม ย้ำการซื้ออาวุธ ไม่ยึดติดต้องซื้อจากไหน แต่ต้องตรงตามความต้องการใช้ ระบุการตั้งโรงงานซ่อมสร้างอาวุธคาดเสร็จก.ค.นี้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า โครงการจัดซื้อเรือดำน้ำ Yuan Class S26T จากประเทศจีน จำนวน 1 ลำ ราคา13,500 ล้านบาท ได้ผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) ไปแล้ว เมื่อวันที่ 18 เม.ย.ที่ผ่านมา โดยพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม เป็นผู้นำโครงการดังกล่าวเข้าสู่ที่ประชุมครม.ด้วยตัวเอง ภายหลังเดินทางกลับจากต่างประเทศ และหลังจาก ครม. อนุมัติแล้ว พล.อ.ประวิตรได้นำโครงการดังกล่าวส่งกลับไปยังกองทัพเรือ เพื่อให้พิจารณาระเบียบวาระในการเซ็นสัญญาการจัดซื้อเรือดำน้ำจากประเทศจีน โดยมีพล.ร.อ.ณะ อารีนิจ ผู้บัญชาการทหารเรือ ในฐานะผู้แทนรัฐบาลไทย จะเดินทางไปเยือนสาธารณประชาธิปไตยประชาชนจีน เพื่อเซ็นต์สัญญาซื้อขายแบบจีทูจีในเร็วๆ นี้
พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ครม.มีมติอนุมัติโครงการดังกล่าวจริง ยืนยันว่าไม่มีอะไรเป็นลับลมคมใน โดยการจัดซื้อเป็นงบผูกพัน ไม่ได้จ่ายเงินครั้งเดียว แต่จะทยอยจ่าย โดยพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) พร้อมผู้ที่เกี่ยวข้องจากกระทรวงกลาโหม ชี้แจงในที่ประชุมว่า มีความจำเป็นต้องจัดซื้อ เพราะเป็นการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์ป้องกันประเทศ ไม่ใช่อยากได้ตามประเทศอื่น แต่กองทัพเรือประเมินจากภัยคุกคามของประเทศที่มีอาณาเขตติดกับไทย ประเมินจากความมั่นคงทางท้องทะเล จึงต้องมีการศึกษาแนวทางการป้องกันทางทะเล เพื่อการป้องกันภัยคุกคามที่มีศักยภาพเหนือกว่า
พล.ร.อ.จุมพล ลุมพิกานนท์ หัวหน้าคณะฝ่ายเสนาธิการประจำผู้บังคับบัญชา ในฐานะโฆษกกองทัพเรือ กล่าวถึงกรณีที่มีข่าวว่าที่ประชุม ครม. ผ่านความเห็นชอบโครงการจัดซื้อเรือดำน้ำจากประเทศจีนว่า กองทัพเรือยังไม่ทราบว่า ครม. ได้มีความเห็นชอบเรื่องดังกล่าวแล้วหรือไม่ และยังไม่ได้รับรายงานในเรื่องนี้ ส่วนข่าวออกมาได้อย่างไรนั้น ต้องไปถามต้นตอของข่าวว่ามาจากไหน เพราะกองทัพเรือจะไม่ก้าวล่วงมติ ครม. กองทัพเรือ ถือเป็นหน่วยปฏิบัติ
พล.ต.คงชีพ ตันตระวานิช โฆษกกระทรวงกลาโหม แถลงผลการประชุมสภากลาโหม ที่มี พล.อ.ประวิตร เป็นประธาน ว่า พล.อ.ประวิตร ได้พูดถึงเรื่องการจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์ว่ารัฐบาลพิจารณาถึงความจำเป็นและความเหมาะสม โดยไม่จำกัดว่าผลิตในประเทศใด แต่ต้องครอบคลุมผลประโยชน์ที่ได้รับ ในราคาที่สมเหตุสมผล และเป็นไปตามแผนงาน และความต้องการที่แท้จริงของเหล่าทัพ และต้องเป็นไปด้วยความโปร่งใส สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติระยะยาว และสภาพแวดล้อมความมั่นคงในอนาคต โดยเฉพาะอาวุธทางยุทธศาสตร์ที่ประเทศรอบบ้านในอาเซียนมีใช้ เพื่อรักษาผลประโยชน์ทางทะเลและใช้เป็นพลังอำนาจทางทหารเพื่อต่อรอง เพื่อผลประโยชน์ของชาติในภาพรวม
นอกจากนี้ ในการประชุม พล.อ.ประวิตร ยังกล่าวถึงการปฏิรูป งานวิจัย และพัฒนาอุตสาหกรรมป้องกันประเทศของกระทรวงกลาโหม โดยให้หน่วยขึ้นตรงกระทรวงกลาโหม และเหล่าทัพให้ความสำคัญงานวิจัยที่มุ่งสู่การผลิตและการใช้งานจริงตามความต้องการของแต่ละเหล่าทัพ และให้ประสานกันในระหว่างเหล่าทัพอย่างใกล้ชิด เพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ ซึ่งเป็นหนึ่งในงานปฏิรูปกองทัพ ที่มุ่งสู่การพึ่งพาตัวเองอย่างยั่งยืนในอนาคต เพื่อลดภาระงบประมาณการจัดหายุทโธปกรณ์ โดยการผลิตยุทโธปกรณ์ในประเภทและชนิดที่เหมาะสม ตามศักยภาพและความเชี่ยวชาญของกองทัพที่มีอยู่ ซึ่งขณะนี้มีความก้าวหน้าตามลำดับ เช่น การจัดทำร่าง พ.ร.บ.สถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ และการจัดทำยุทธศาสตร์การพัฒนาอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ ซึ่งมีกำหนดแล้วเสร็จภายในเดือนมิ.ย.นี้
ส่วนเรื่องการจัดตั้งโรงงานซ่อมสร้างอาวุธยุทโธปกรณ์ อยู่ระหว่างการหารือกับจีนและประเทศอื่นๆ ซึ่งจะได้ข้อสรุป และสามารถอนุมัติแนวทาง เพื่อจัดตั้งโรงงานซ่อมสร้างยุทโธปกรณ์ภายในเดือนก.ค.นี้ รวมทั้งการเพิ่มขีดความสามารถของโรงงานในการผลิตยางรถยนต์ ทั้งทางทหารและเชิงพาณิชย์ ตามนโยบายของนายกรัฐมนตรี ซึ่งอยู่ระหว่างการจัดทำและการเสนอของบประมาณ
ด้านพล.อ.ประวิตร กล่าวถึงกรณีสวนดุสิตโพลสำรวจความคิดเห็นประชาชนทั่วประเทศ เรื่องรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ในสายตาประชาชนส่วนใหญ่ อยากให้รัฐบาลเร่งแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ และปัญหาปากท้องว่า รัฐบาลได้ทุ่มเทแก้ไขปัญหาทุกอย่าง ตนเชื่อว่าคะแนนของรัฐบาลจะไม่ตก โดยเฉพาะเศรษฐกิจในอาเซียน ไทยก็มีเศรษฐกิจที่ดี จะมีเพียงประชาชนที่มีรายได้น้อยเท่านั้น ซึ่งเรามองว่าวันนี้รัฐบาลจัดสรรช่วยเหลืออาจจะลงไปไม่ถึงหรือลงช้าไป แต่ในเรื่องของเศรษฐกิจ ด้านการส่งออกและการค้าขายกับต่างประเทศ เรามีทิศทางดีขึ้น ยืนยันว่ารัฐบาลไม่มีขาลง เพราะรัฐมนตรีทุกกระทรวง ทุ่มเทการทำงานทุกอย่าง อีกทั้งตนยังมองไม่เห็นว่า ไม่มีอะไรที่ไม่ก้าวหน้า แต่หากเห็นว่า ส่วนไหนที่รัฐบาลยังไม่ดำเนินการ ขอให้สื่อไปหามาว่าอะไร แต่ที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรี ได้กำกับดูแลด้วยตนเอง และรัฐมนตรีทุกกระทรวงก็ทำงานหนัก
"เรื่องเศรษฐกิจ จะพอใจทั้งหมดไม่ได้ เพราะต้องดูภาพรวมทั้งโลกด้วย แต่ถ้าเอาไปเทียบกับประเทศอื่น เราก็ไม่มีอะไรเสียหาย ซึ่งผมเชื่อว่าประชาชนอยากให้เศรษฐกิจดีขึ้นกว่านี้ แต่การปรับคณะรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ ก็ไม่ใช่วิธีการแก้ไขปัญหา เพราะรัฐมนตรีทุกคนทำงานด้วยความทุ่มเท และหาวิธีการทุกอย่างมาดำเนินการ รวมทั้งนายกฯ ทำทุกเรื่องในการแก้ไขปัญหา เพื่อให้เศรษฐกิจเดินต่อไปข้างหน้าได้"พล.อ.ประวิตรกล่าว
พล.อ.ประวิตรกล่าวถึงร่าง พ.ร.บ.ยุทธศาสตร์ชาติ ที่มีการข้อสังเกตถึงสัดส่วนกรรมการ ที่มีปลัดกระทรวงกลาโหม ผู้บัญชาการเหล่าทัพ เป็นคณะกรรมการ ว่า ผบ.เหล่าทัพมีแค่ 5-6 คน ไม่ได้มีจำนวนมากมาย ซึ่งการที่มี ผบ.เหล่าทัพเข้าไปเป็นคณะกรรมการ ก็เพื่อให้เกิดความมั่นใจ เนื่องจากบ้านเมืองเรา ถ้าให้เขารับรู้ รับทราบ และเดินไปด้วยกันกับประชาชน หรือนักวิชาการ ตนคิดว่ามันจะเป็นไปได้ เพราะยุทธศาสตร์ชาติเราต้องร่วมมือกัน ถือเป็นเรื่องดี ที่จะให้ ผบ.เหล่าทัพ เข้าไปรับรู้ รับทราบ และรู้ว่าสิ่งที่เขาทำเพื่ออะไร ไม่เห็นจะมีอะไรเสียหาย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า โครงการจัดซื้อเรือดำน้ำ Yuan Class S26T จากประเทศจีน จำนวน 1 ลำ ราคา13,500 ล้านบาท ได้ผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) ไปแล้ว เมื่อวันที่ 18 เม.ย.ที่ผ่านมา โดยพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม เป็นผู้นำโครงการดังกล่าวเข้าสู่ที่ประชุมครม.ด้วยตัวเอง ภายหลังเดินทางกลับจากต่างประเทศ และหลังจาก ครม. อนุมัติแล้ว พล.อ.ประวิตรได้นำโครงการดังกล่าวส่งกลับไปยังกองทัพเรือ เพื่อให้พิจารณาระเบียบวาระในการเซ็นสัญญาการจัดซื้อเรือดำน้ำจากประเทศจีน โดยมีพล.ร.อ.ณะ อารีนิจ ผู้บัญชาการทหารเรือ ในฐานะผู้แทนรัฐบาลไทย จะเดินทางไปเยือนสาธารณประชาธิปไตยประชาชนจีน เพื่อเซ็นต์สัญญาซื้อขายแบบจีทูจีในเร็วๆ นี้
พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ครม.มีมติอนุมัติโครงการดังกล่าวจริง ยืนยันว่าไม่มีอะไรเป็นลับลมคมใน โดยการจัดซื้อเป็นงบผูกพัน ไม่ได้จ่ายเงินครั้งเดียว แต่จะทยอยจ่าย โดยพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) พร้อมผู้ที่เกี่ยวข้องจากกระทรวงกลาโหม ชี้แจงในที่ประชุมว่า มีความจำเป็นต้องจัดซื้อ เพราะเป็นการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์ป้องกันประเทศ ไม่ใช่อยากได้ตามประเทศอื่น แต่กองทัพเรือประเมินจากภัยคุกคามของประเทศที่มีอาณาเขตติดกับไทย ประเมินจากความมั่นคงทางท้องทะเล จึงต้องมีการศึกษาแนวทางการป้องกันทางทะเล เพื่อการป้องกันภัยคุกคามที่มีศักยภาพเหนือกว่า
พล.ร.อ.จุมพล ลุมพิกานนท์ หัวหน้าคณะฝ่ายเสนาธิการประจำผู้บังคับบัญชา ในฐานะโฆษกกองทัพเรือ กล่าวถึงกรณีที่มีข่าวว่าที่ประชุม ครม. ผ่านความเห็นชอบโครงการจัดซื้อเรือดำน้ำจากประเทศจีนว่า กองทัพเรือยังไม่ทราบว่า ครม. ได้มีความเห็นชอบเรื่องดังกล่าวแล้วหรือไม่ และยังไม่ได้รับรายงานในเรื่องนี้ ส่วนข่าวออกมาได้อย่างไรนั้น ต้องไปถามต้นตอของข่าวว่ามาจากไหน เพราะกองทัพเรือจะไม่ก้าวล่วงมติ ครม. กองทัพเรือ ถือเป็นหน่วยปฏิบัติ
พล.ต.คงชีพ ตันตระวานิช โฆษกกระทรวงกลาโหม แถลงผลการประชุมสภากลาโหม ที่มี พล.อ.ประวิตร เป็นประธาน ว่า พล.อ.ประวิตร ได้พูดถึงเรื่องการจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์ว่ารัฐบาลพิจารณาถึงความจำเป็นและความเหมาะสม โดยไม่จำกัดว่าผลิตในประเทศใด แต่ต้องครอบคลุมผลประโยชน์ที่ได้รับ ในราคาที่สมเหตุสมผล และเป็นไปตามแผนงาน และความต้องการที่แท้จริงของเหล่าทัพ และต้องเป็นไปด้วยความโปร่งใส สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติระยะยาว และสภาพแวดล้อมความมั่นคงในอนาคต โดยเฉพาะอาวุธทางยุทธศาสตร์ที่ประเทศรอบบ้านในอาเซียนมีใช้ เพื่อรักษาผลประโยชน์ทางทะเลและใช้เป็นพลังอำนาจทางทหารเพื่อต่อรอง เพื่อผลประโยชน์ของชาติในภาพรวม
นอกจากนี้ ในการประชุม พล.อ.ประวิตร ยังกล่าวถึงการปฏิรูป งานวิจัย และพัฒนาอุตสาหกรรมป้องกันประเทศของกระทรวงกลาโหม โดยให้หน่วยขึ้นตรงกระทรวงกลาโหม และเหล่าทัพให้ความสำคัญงานวิจัยที่มุ่งสู่การผลิตและการใช้งานจริงตามความต้องการของแต่ละเหล่าทัพ และให้ประสานกันในระหว่างเหล่าทัพอย่างใกล้ชิด เพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ ซึ่งเป็นหนึ่งในงานปฏิรูปกองทัพ ที่มุ่งสู่การพึ่งพาตัวเองอย่างยั่งยืนในอนาคต เพื่อลดภาระงบประมาณการจัดหายุทโธปกรณ์ โดยการผลิตยุทโธปกรณ์ในประเภทและชนิดที่เหมาะสม ตามศักยภาพและความเชี่ยวชาญของกองทัพที่มีอยู่ ซึ่งขณะนี้มีความก้าวหน้าตามลำดับ เช่น การจัดทำร่าง พ.ร.บ.สถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ และการจัดทำยุทธศาสตร์การพัฒนาอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ ซึ่งมีกำหนดแล้วเสร็จภายในเดือนมิ.ย.นี้
ส่วนเรื่องการจัดตั้งโรงงานซ่อมสร้างอาวุธยุทโธปกรณ์ อยู่ระหว่างการหารือกับจีนและประเทศอื่นๆ ซึ่งจะได้ข้อสรุป และสามารถอนุมัติแนวทาง เพื่อจัดตั้งโรงงานซ่อมสร้างยุทโธปกรณ์ภายในเดือนก.ค.นี้ รวมทั้งการเพิ่มขีดความสามารถของโรงงานในการผลิตยางรถยนต์ ทั้งทางทหารและเชิงพาณิชย์ ตามนโยบายของนายกรัฐมนตรี ซึ่งอยู่ระหว่างการจัดทำและการเสนอของบประมาณ
ด้านพล.อ.ประวิตร กล่าวถึงกรณีสวนดุสิตโพลสำรวจความคิดเห็นประชาชนทั่วประเทศ เรื่องรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ในสายตาประชาชนส่วนใหญ่ อยากให้รัฐบาลเร่งแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ และปัญหาปากท้องว่า รัฐบาลได้ทุ่มเทแก้ไขปัญหาทุกอย่าง ตนเชื่อว่าคะแนนของรัฐบาลจะไม่ตก โดยเฉพาะเศรษฐกิจในอาเซียน ไทยก็มีเศรษฐกิจที่ดี จะมีเพียงประชาชนที่มีรายได้น้อยเท่านั้น ซึ่งเรามองว่าวันนี้รัฐบาลจัดสรรช่วยเหลืออาจจะลงไปไม่ถึงหรือลงช้าไป แต่ในเรื่องของเศรษฐกิจ ด้านการส่งออกและการค้าขายกับต่างประเทศ เรามีทิศทางดีขึ้น ยืนยันว่ารัฐบาลไม่มีขาลง เพราะรัฐมนตรีทุกกระทรวง ทุ่มเทการทำงานทุกอย่าง อีกทั้งตนยังมองไม่เห็นว่า ไม่มีอะไรที่ไม่ก้าวหน้า แต่หากเห็นว่า ส่วนไหนที่รัฐบาลยังไม่ดำเนินการ ขอให้สื่อไปหามาว่าอะไร แต่ที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรี ได้กำกับดูแลด้วยตนเอง และรัฐมนตรีทุกกระทรวงก็ทำงานหนัก
"เรื่องเศรษฐกิจ จะพอใจทั้งหมดไม่ได้ เพราะต้องดูภาพรวมทั้งโลกด้วย แต่ถ้าเอาไปเทียบกับประเทศอื่น เราก็ไม่มีอะไรเสียหาย ซึ่งผมเชื่อว่าประชาชนอยากให้เศรษฐกิจดีขึ้นกว่านี้ แต่การปรับคณะรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ ก็ไม่ใช่วิธีการแก้ไขปัญหา เพราะรัฐมนตรีทุกคนทำงานด้วยความทุ่มเท และหาวิธีการทุกอย่างมาดำเนินการ รวมทั้งนายกฯ ทำทุกเรื่องในการแก้ไขปัญหา เพื่อให้เศรษฐกิจเดินต่อไปข้างหน้าได้"พล.อ.ประวิตรกล่าว
พล.อ.ประวิตรกล่าวถึงร่าง พ.ร.บ.ยุทธศาสตร์ชาติ ที่มีการข้อสังเกตถึงสัดส่วนกรรมการ ที่มีปลัดกระทรวงกลาโหม ผู้บัญชาการเหล่าทัพ เป็นคณะกรรมการ ว่า ผบ.เหล่าทัพมีแค่ 5-6 คน ไม่ได้มีจำนวนมากมาย ซึ่งการที่มี ผบ.เหล่าทัพเข้าไปเป็นคณะกรรมการ ก็เพื่อให้เกิดความมั่นใจ เนื่องจากบ้านเมืองเรา ถ้าให้เขารับรู้ รับทราบ และเดินไปด้วยกันกับประชาชน หรือนักวิชาการ ตนคิดว่ามันจะเป็นไปได้ เพราะยุทธศาสตร์ชาติเราต้องร่วมมือกัน ถือเป็นเรื่องดี ที่จะให้ ผบ.เหล่าทัพ เข้าไปรับรู้ รับทราบ และรู้ว่าสิ่งที่เขาทำเพื่ออะไร ไม่เห็นจะมีอะไรเสียหาย