สำหรับ “คำถาม” ที่ว่า...เหตุใด “ทรัมป์” ถึงได้ยอมมอบโกเต๊กซ์ “New Freedom” หรือมอบอิสระในการตัดสินใจเรื่องสำคัญๆ ให้กับบรรดานายทหารและอดีตทหาร ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ดูเหมือนว่า...บรรดา “สื่อกระแสหลัก” ในอเมริกา (ซึ่งส่วนใหญ่คงไม่ชอบขี้หน้าประธานาธิบดีรายใหม่อยู่แล้ว) จะพยายามให้ “คำตอบ” ในเรื่องนี้ ออกไปในแนว “โง่” ซะเป็นหลัก คือเพราะไม่รู้เรื่องการเมือง การต่างประเทศ รู้แต่เรื่องธุรกิจ หรือเรื่องประเภทการประกวดขาอ่ง ขาอ่อน อะไรทำนองนั้น...
ส่วนในเรื่อง “บ้า” นั้น...คงหาเหตุผล ข้อมูล มาเป็นองค์ประกอบในการสนับสนุนค่อนข้างยากพอสมควร เพราะไม่ว่าผู้มีอำนาจ หรือผู้นำรายอื่นๆ ไม่ว่า “โอมาบ้า” หรือแม้แต่คู่แข่งของ “ทรัมป์” อย่าง “ฮิลลารี” ก็ใช่ว่าสติ สตังค์จะสมประกอบไปด้วยกันทุกส่วน ขึ้นอยู่กับว่าจะบ้ามาก บ้าน้อย หรือบ้าในเรื่องประเภทไหนกันโดยเฉพาะแต่สิ่งที่มักไม่ค่อยมีใครพูดถึง...ก็คือเรื่องของความ “ฉลาด” ที่แม้จะออกไปทาง “แกมโกง” ก็ตาม เพราะถ้าแค่ “โง่” หรือ “บ้า” ประธานาธิบดีรายใหม่อย่าง “ทรัมป์” คงไม่น่าจะถึงกับต้องยอมเจียดเงินงบประมาณที่จะเอาไว้สร้าง “กำแพงเม็กซิโก” มาทุ่มทุน ทุ่มเท ประเคนให้กับ “งบประมาณทางทหาร” ปีนี้ เพิ่มขึ้นไปอีกถึง 54,000 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นไปอีก 9 เปอร์เซ็นต์ จากจำนวนงบฯ ทางทหารที่แตะระดับ 8-9 แสนล้านดอลลาร์มาโดยตลอด ทั้งๆ ที่งบประมาณทางทหารของสหรัฐฯ นั้น ได้ชื่อว่าเป็นงบประมาณทางทหาร ที่ “สูงที่สุดในโลก” หรือถือเป็นเกือบ 40 เปอร์เซ็นต์ของงบประมาณทางทหารทั่วโลกมารวมกัน...
และสิ่งที่ดูเหมือนจะสะท้อนให้เห็นถึงความ “ฉลาด” (แกมโกง) ของ “ทรัมป์” ก็น่าจะปรากฏอยู่ในถ้อยคำซึ่งประธานาธิบดีรายใหม่ได้ “ทวีต” เอาไว้เมื่อช่วงวันอาทิตย์ที่ผ่านมานั่นแหละว่า...“Our military is building and is rapidly becoming stronger than ever before---Frankly, we have no choice.” หรืออเมริกาไม่เหลือ “ทางเลือก” อื่นๆ ต่อไปอีกแล้ว!!! นอกเสียจากต้องหันมาสร้างเสริมกำลังทางทหารอย่างเร่งด่วนและให้ยิ่งใหญ่ยิ่งๆ ขึ้นไปกว่าเท่าที่เคยเป็นมาตลอดช่วงประวัติศาสตร์อเมริกานั่นเอง ด้วยเหตุเพราะความยิ่งใหญ่หรือ “ความเป็นจักรวรรดิของอเมริกา” นั้น มันได้ถูก “ออกแบบ” เอาไว้ในแนวนี้มานานแล้ว หรือถูกกำหนดให้ต้องเป็น “เครื่องจักรทางทหาร” มาโดยตลอด งบประมาณทางทหารของอเมริกาตลอดช่วงไม่รู้กี่ต่อกี่ทศวรรษที่ผ่านมา จึงมีอัตราส่วนมากถึง 50-60 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบจำนวนงบประมาณประเทศทั้งหมด ขณะที่งบฯ การศึกษาเหลือติดก้นกระเป๋าอยู่เพียงแค่ 8 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นเอง...
พูดง่ายๆ ว่า...ก็ด้วยเพราะ “สงคราม” นั่นแหละ ที่เป็นตัวขับเคลื่อนอเมริกามาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นสงครามโลกครั้งที่ 1 ครั้งที่ 2 ไปจนถึงสงครามเย็น หรือสงครามกับการก่อการร้าย ฯลฯ การหาทางทำให้ “อเมริกากลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง” หรือ “America Great Again” นั้น มันจึงเป็นไปไม่ได้เอาเลย ถ้ายังมัวแต่ไปมั่วอยู่กับกำแพงเม็กซิโก หรือถ้าหากไม่เริ่มจากการทุ่มทุน ทุ่มเท ทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้ที่ “การทหาร” การตัดสินใจมอบอิสระให้กับบรรดา “นายพล” และ “อดีตนายพล”ทั้งหลายของประธานาธิบดีรายใหม่ จึงเป็นไปอย่างที่ “The Wall Street Journal” ได้ให้คำขยายความเอาไว้นั่นแหละว่า หมายถึง “อิสระในการตัดสินใจจะเปิดฉากแนวรบที่ไหนก็ได้ หรือจะเพิ่มแนวรบ เพิ่มสมรภูมิขึ้นมาอีกเท่าไหร่ก็ได้!!!”
ยิ่งจรวดโทมาฮอว์กลูกละ 1 ล้านดอลลาร์ ถูกยิงไป 50-60 ลูก ลูกระเบิด “โคตรแม่มระเบิด” ราคาลูกละไม่ต่ำกว่า 10-20 ล้านดอลลาร์ ถูกเอาไปหย่อนใส่หัวใครต่อใครก็แล้วแต่ ยิ่งช่วยให้เกิด “การจ้างงาน” ในการผลิตลูกระเบิดเหล่านี้เข้ามาทดแทน โดยไม่จำเป็นต้องไปอินังขังขอบ ไม่ต้องไปยินดี ยินร้ายกับอะไรต่อมิอะไรไปด้วยกันทั้งนั้น เนื่องจาก “America First” หรือ “อเมริกาต้องมาก่อน” นั่นแล...
อย่างที่ “เจอรัลด์ เซเลนเต” (Gerald Celente) นักวิเคราะห์ทางเศรษฐกิจชื่อดังได้กล่าวเอาไว้นั่นแหละว่า... “การใช้จ่ายทางทหารนั้น เป็นหนทางที่รวดเร็วที่สุด (ในการกระตุ้นเศรษฐกิจตามแนวทางทุนนิยมหรือตามหลักทฤษฎี Keynesian) ในอันที่จะทำให้วิถีชีวิตของผู้คน ถูกกระชากออกจากความล้มเหลวเศรษฐกิจได้โดยฉับพลัน แม้มันจะไม่ช่วยทำให้ระบบเศรษฐกิจทั้งหมดดูกระเตื้องขึ้น แต่บรรยากาศของสงครามซึ่งครอบงำความรู้สึกของผู้คนในสังคม จะกลายเป็นตัวหันเหความสนใจเขาเหล่านั้น ออกไปจากความหดหู่ สิ้นหวัง ความขาดแคลนสิ่งต่างๆ ได้อย่างชะงัด นอกจากนั้น...ยังมีส่วนช่วยให้บรรดาชนชั้นนำและผู้ปกครอง สามารถเอาตัวรอดจากการตกเป็นเป้าความไม่พอใจของผู้คนในชาติได้ไม่ยาก เนื่องจากเป้าใหม่ๆ ที่ถูกทำให้ปรากฏขึ้นมาแทนที่ก็คือ...ศัตรูจากภายนอก...นั่นเอง...”
ด้วยเหตุนี้...การมอบอิสระให้กับบรรดา “นายพล” ทั้งหลาย ออกไป “สร้างศัตรูภายนอก” ให้เยอะๆ เข้าไว้ โดยไม่จำเป็นต้องสนใจการเมือง การทูตมากมายซักเท่าไหร่นัก มันจึงอาจพอช่วยปกปิด “ศัตรูที่แท้จริง” ของความเป็นจักรวรรดินิยมยุคใหม่ได้เป็นอย่างดี...นั่นคือ “ตัวตนของอเมริกา” หรือคือระบบเศรษฐกิจการเมืองแบบจักรวรรดินิยมนั่นเอง ที่เป็นตัวการสำคัญในการจุดชนวน “สงครามระดับโลก” มาโดยตลอด...