มาถึง ณ ขณะนี้...ต้องเรียกว่า การเปิดฉากถล่มซีเรียของคุณพ่ออเมริกา ด้วยการสาดจรวดโทมาฮอว์กเข้าใส่ระดับ 50-60 ลูก...กลายเป็นเรื่อง “ชิลๆ” ไปแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อรัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย “นายเซอร์เก ลาฟรอฟ” (Sergei Lavrov) ได้ออกมายืนยันครั้งล่าสุด (13 เม.ย. 60) หลังการพบปะเจรจากับ “นายเร็กซ์ ทิลเลอร์สัน” (Rex Tillerson) รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ผ่านสำนักข่าวรอยเตอร์เอาไว้ว่า “มอสโกและวอชิงตัน...บรรลุความเข้าใจตรงกันแล้วว่า นับจากนี้เป็นต้นไป จะไม่มีการถล่มซีเรียเหมือนครั้งที่เพิ่งเกิดขึ้นโดยเด็ดขาด”...
เพราะการประสานเสียงคำรามของพันธมิตรรัฐบาลซีเรียอย่างรัสเซียและอิหร่านก่อนหน้านี้ว่า “พร้อมจะตอบโต้ด้วยกำลังโดยทันที ถ้าหากมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นมาอีก” คงทำให้ “นายทีเร็กซ์” หรือไม่ว่า “ไทแรนโนซอรัส” สายพันธุ์ไหนต่อสายพันธุ์ก็แล้วแต่ คงพอได้ยั้งๆ คิดๆ ขึ้นมามั่ง!!! ความน่าขนลุกขนพองสยองเกล้า จากแนวโน้มสงครามในแนวรบตะวันออกกลาง จึงเปลี่ยนฉาก เปลี่ยนสถานที่มายัง “คาบสมุทรเกาหลี” ไปแทนที่ ถึงขั้นที่รัฐมนตรีต่างประเทศจีน “นายหวาง อี้” (Wang Yi) ต้องออกมาระบายความรู้สึกระหว่างการพบปะกับรัฐมนตรีต่างประเทศฝรั่งเศสที่มาเยือนกรุงปักกิ่งเมื่อไม่กี่วันมานี้ว่า “เรามีความรู้สึกว่า...ความขัดแย้ง (ระหว่างสหรัฐฯ กับเกาหลีเหนือ) สามารถระเบิดออกมาได้ทุกเมื่อ...”
ภายใต้คำสั่งประธานาธิบดีไทแรนโนซอรัสสายพันธุ์ “ทรัมป์” ให้กองเรือจู่โจมที่เรียกขานในนาม “Armada” ภายใต้การนำของเรือบรรทุกเครื่องบิน “USS Carl Vinson” และเรือนำร่องขีปนาวุธ “USS Stethem” (DDG63) มุ่งหน้าเข้าสู่คาบสมุทรเกาหลี พร้อมคำประกาศประมาณว่า “สหรัฐฯ พร้อมแล้วที่จะปลดอาวุธนิวเคลียร์ในคาบสมุทรเกาหลี...แม้ว่าจะไม่มีจีนคอยช่วยเหลืออยู่ด้วยก็ตาม” จึงส่งผลให้บรรยากาศความตึงเครียดของแนวรบในด้านนี้ ย่อมเป็นไปดังที่รัฐมนตรีต่างประเทศจีนได้ระบายความรู้สึกเอาไว้นั่นเอง...
และคงไม่ใช่แค่เฉพาะรัฐมนตรีต่างประเทศจีนเท่านั้น...ที่เกิดความรู้สึกในทำนองนี้ กระทั่งรัฐบาลญี่ปุ่นเองถึงขั้นตระเตรียมอพยพชาวญี่ปุ่นออกจากตำบลกระสุนตกในเกาหลีใต้อย่างเป็นการเร่งด่วน ส่วนผู้ที่ตกเป็นเป้าหมายอย่างเกาหลีเหนือนั้น มีข่าวว่า “คิมน้อย” (Kim Jong-Un) ได้ออกคำสั่งให้อพยพชาวเกาหลีเหนือประมาณ 600,000 คน ออกจากเมืองเปียงยางไปนอนกินกิมจิอยู่ในหลุมหลบภัยเรียบโร้ยย์ย์ย์แล้ว ยิ่งไปกว่านั้น...ยังได้ระดมกองกำลังช่วยรบ แพทย์และพยาบาลไปยังเมือง Shenyang ห่างจากพรมแดนเกาหลีเหนือประมาณ 200 ไมล์ เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับอะไรก็ตามที่จะอุบัติขึ้นมานับจากนี้...
แต่ก็นั่นแหละ “อัตราเสี่ยง” ในการที่ทั้งสองประเทศจะสาดกระสุน สาดจรวด ระดับใหญ่ๆ โตๆ ปานบ้องข้าวหลามยักษ์เข้าใส่กันและกัน มันน่าจะทำให้ “คนบ้า” หรือ “คนโง่” ไม่ว่าบ้าเท่าไหร่ หรือโง่เท่าไหร่ก็ตาม คงต้องยั้งๆ คิดๆ เอาไว้มั้ง ดังที่หนังสือพิมพ์ “People’s Daily” ของทางการจีนได้สรุปเอาไว้นั่นแหละว่า “การโจมตีเกาหลีเหนือด้วยขีปนาวุธใดๆ ก็แล้วแต่ ย่อมเต็มไปด้วยอัตราเสี่ยงกว่าการโจมตีซีเรียหลายต่อหลายเท่า เพราะสามารถก่อให้เกิดการตอบโต้ด้วยขีปนาวุธนิวเคลียร์ หรือระเบิดสกปรก (Dirty Bomb) กลับมาได้ทุกเมื่อ และนั่นย่อมทำให้พันธมิตรอเมริกาไม่ว่าเกาหลีใต้หรือญี่ปุ่น ต้องตกเป็นฝ่ายแบกรับหายนะอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้”...
หรืออย่างที่ “อเล็กซานเดอร์ เชบิน” (Alexander Zhebin) นักวิทยาศาสตร์รัสเซียประเมินเอาไว้ว่า โอกาสที่โรงงานนิวเคลียร์ของเกาหลีใต้ประมาณ 30 โรง จะถูกโจมตีด้วยขีปนาวุธจากเกาหลีเหนือ ย่อมมีความเป็นไปได้ทุกเมื่อ อันจะส่งผลให้เกิดสภาวะหนักหนาสาหัสซะยิ่งกว่าโรงงานไฟฟ้า “Chernobyl” ในยูเครน (เมื่อครั้งยังเป็นสหภาพโซเวียต) เกิดการระเบิดไม่น้อยกว่า 5-6 เท่า ไม่ต่างไปจากศาสตราจารย์ชาวรัสเซีย “อังเดร ลานคอฟ” (Andrei Lankov) ผู้เคยใช้ชีวิตอยู่ในกรุงเซอูล เกาหลีใต้มาก่อนหน้านี้ ที่ได้ให้ความเห็นกับสำนักข่าว “Spunik” เอาไว้ว่า เมื่อไหร่ก็ตามที่อเมริกาตัดสินใจเปิดฉากโจมตีเกาหลีเหนือ ประชากรประมาณ 25 ล้านในกรุงเซอูลจะตกในภาวะ “เสี่ยงภัย” โดยทันที...
เจอเข้ากับโจทย์ยากๆ ในระดับนี้ ไม่ว่าประธานาธิบดีอเมริกันอย่าง “ทรัมป์” จะมี “ลูกบ้า” เต็มพิกัดขนาดไหน คงหนีไม่พ้นต้องคิดหน้า-คิดหลัง ประมาณ 4-5 ตลบเป็นอย่างน้อย ไม่ต่างไปจาก “คิมน้อย” หรือ “คิม จอง-อึน” ที่แม้เติบโตขึ้นมาในยุคหลังๆ แต่ก็น่าจะพอเรียนรู้จากประวัติศาสตร์ซึ่งเพิ่งผ่านไปเมื่อไม่กี่สิบปีได้บ้าง นั่นคือประวัติศาสตร์สงครามเกาหลีครั้งสุดท้าย ที่แม้ทหารเกาหลีเหนือสามารถสังหาร พร่าผลาญทหารอเมริกันไปเป็นจำนวนถึง 40,000 ราย แต่ต้องแลกมาด้วยเลือดเนื้อและชีวิตของชาวเกาหลีเหนือไม่น้อยไปกว่า 5 ล้านคน ภายใต้ “อัตราเสี่ยง” เช่นนี้...จะส่งผลให้โฉมหน้าของสถานการณ์พัฒนาไปในแนวไหน อันนี้...คงต้องไปว่ากันต่อวันพรุ่งนี้อีกซักวัน...