ผู้จัดการรายวัน360 - เช็คมือถือ “ซินแสโชกุน” โยงผิด ม.112 หลังถูกแฉคลิปอ้างพาคนเข้าวังได้ ผู้เสียหายโผล่กว่า1 พันคนเหยื่อคดีฉ้อโกงประชาชน ตร.เร่งสอบปากคำ ปปง.อายัด3ล้านกันโอนหนี จ่อยึดรถ-บ้าน หากแจงที่มาไม่ได้ ตร.เผยเตรียมฝากขัง พร้อมค้านประกันตัว จ่อเรียกสอบนักแสดงรุ่นเก๋า หลังมีชื่อร่วมทริปญี่ปุ่น ตร.ห้วยขวางเข้าคิวอายัดตัว ตามหมายจับคดีตุ๋นแม่เด็ก 9 ขวบถ่ายแบบเรียกเงิน 2.2 แสนเชิดหนี
จากกรณีแชร์ลูกโซ่ลอยแพลูกทัวร์กว่า 2,000 คน ที่สนามบินสุวรรณภูมิ ส่งผลให้แวดวงโซเชียลได้ขุดคุ้ยประวัติ น.ส.พสิษฐ์ อริญชย์ลาภิศ หรือ ศรัณย์พัชร์ กิติขจรพัชร์ หรือ “ซินแสโชกุน” ผู้ต้องหาคดีหลอกลวงนักท่องเที่ยว ฉ้อโกงประชาชน อย่างต่อเนื่อง ล่าสุดได้มีการแชร์คลิปเสียงที่มีการกล่าวอ้างถึงสำนักพระราชวัง ซึ่งส่อผิดกฎหมายอาญามาตรา 112 โดยคลิปเสียงดังกล่าวใจความตอนหนึ่งระบุว่า “ตอนนี้มีข่าวดีจะแจ้งหลายๆ เรื่อง วันนี้ผมจะจัดการเรื่องรายชื่อคนที่จะเข้าวังให้เสร็จ เนื่องจากผมต้องส่งรายชื่อเข้าในสำนักพระราชวังด้วย เพราะว่าครั้งนี้เรามีแขกกิตติมศักดิ์จะมาเป็นประธานเปิดงานให้กับเราด้วย ฉะนั้น ต้องคัดกรองอย่างดี ก็เลยค่อนข้างสำคัญมากนะครับ... ขอให้คืนนี้ระบบรันได้เยอะๆ เคลียร์ค่าฟาร์สให้จบไวๆ การที่จะล้างผังใหม่ ต่อสายใหม่ ก็จะได้เป็นผลดีต่อทุกๆ คน คอมมิชชั่นเราสะสมอยู่แล้ว ไม่ว่าจะจัดวางไว้ตรงไหน”
วานนี้ (13 เม.ย.) พล.ต.ท.ฐิติราช หนองหารพิทักษ์ ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (ผบช.ก.) เดินทางมายังกองปราบปรามเพื่อติดตามความคืบหน้าคดี โดย เปิดเผยว่า ได้มีการประสานกับสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ในเรื่องการยึดทรัพย์แล้ว เพื่อไม่ให้เกิดโยกย้ายถ่ายโอนทรัพย์สิน แต่จากการตรวจสอบการธุรกรรมกับธนาคารของ น.ส.พสิษฐ์ นั้น เบื้องต้นทราบว่ามีจำนวนเงินอยู่ประมาณ 3 ล้านบาท ซึ่งเงินบางส่วนที่มีการแปลงสภาพไปเป็นอสังหาริมทรัพย์แล้วจะเร่งตรวจสอบเพื่อจะได้นำเงินคืนสู่ผู้เสียหายให้เร็วที่สุด ส่วนกรณีที่ น.ส.พสิษฐ์ มีการอ้างสถาบันเบื้องสูง ที่อาจเข้าข่ายความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 นั้น ตอนนี้หลักฐานเอกสารยังไม่มีความเชื่อมโยงอยู่ระหว่างการเร่งหาอุปกรณ์ติดต่อสื่อสาร เช่น โทรศัพท์ของ น.ส.พสิษฐ์ ซึ่งเป็นหลักฐานสำคัญ อีกทั้งตอนนี้พนักงานสอบสวนได้มีการสืบทราบแล้วว่าเครือข่าย น.ส.พสิษฐ์ หรือซินแสโชกุนนั้นมีผู้ที่เกี่ยวข้อง หรือ ผู้ที่เป็นแม่ข่ายทั้งหมด ประมาณ 30 คน ขณะนี้อยู่ระหว่างเตรียมเชิญตัวทั้งหมดเข้ามาสอบปากคำ สำหรับการจะนำตัวผู้ต้องหาไปฝากขังที่ศาลอาญานั้น ยืนยันตำรวจจะคัดค้านการประกันตัวแน่นอนเพราะผู้ต้องหาอาจจะไปยุ่งหรือทำลายพยานหลักฐานได้
*** ปปง.อายัดเงินในบัญชี 3ล้านบาท
รายงานจาก ปปง.แจ้งว่า เบื้องต้นได้อายัดเงินในบัญชีของ น.ส.พสิษฐ์ ที่มีอยู่ประมาณ 3 ล้านบาท ส่วนทรัพย์สินอื่นที่นำเงินไปซื้อไว้ ไม่ว่าจะเป็นยานพาหนะ หรือที่พักอาศัย หากเจ้าหน้าที่ ปปง.ตรวจพบจะทำการอายัดทันที หลังจากนั้นถ้าผู้ต้องหาชี้แจงถึงที่มาที่ไปทรัพย์สินไม่ได้ จะทำการยึดและนำไปขายทอดตลาดตามขั้นตอน เพื่อนำเงินไปเยียวยาผู้เสียหายต่อไป
อีกด้านที่ กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) นางเรวดี แกสเปอร์ และ นางพัชราภรณ์ ตะโกภู่ หนึ่งในกลุ่มผู้เสียหาย ได้เดินทางเข้าแจ้งความร้องทุกข์ที่กองปราบปราม หลังถูกบริษัท เวลท์เอเวอร์ จำกัด หลอกให้จ่ายเงินจำนวน 10,000 บาท แลกกับผลิตภัณฑ์อาหารเสริม 1 ขวด และจะได้รับสิทธิในการท่องเที่ยวประเทศญี่ปุ่น โดยนางเรวดี กล่าวว่า ได้รับการชักชวนให้ไปเที่ยวประเทศญี่ปุ่น จากนางวัลยา ทองทิพย์ เป็นระดับแม่ทีมในพื้นที่ภาคใต้ และทราบว่านางวัลยามีลูกทีมในสายภาคใต้จำนวน 300 คน ซึ่งตนได้ชักชวนญาติพี่น้องอีกหลายคนให้เดินทางไปด้วย ทำให้ญาติของตนก็ตกเป็นผู้เสียหายในคดีนี้ทั้งหมด
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศที่ บก.ป.ตลอดวัน มีผู้เสียหายที่ได้รับผลกระทบตกเป็นเหยื่อของ น.ส.พสิษฐ์ ต่างทยอยเดินทางมาแจ้งความดำเนินคดีอย่างต่อเนื่อง ก่อนที่พนักงานสอบสวนกองปราบปรามได้ทำการสอบปากคำอย่างละเอียด โดยล่าสุดมีผู้เสียหายมากกว่า 1,000 คนแล้ว โดยผู้เสียหายส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล นอกจากนั้นเจ้าหน้าที่ยังอยู่ระหว่างการรวบรวมรายชื่อผู้เสียหายในแต่ละจังหวัดที่คาดว่าจะมีอีกจำนวนหนึ่งด้วย
** ทนายร่วมแถ “โชกุน” ไม่ได้หนี
ขณะที่ นายนิติศักดิ์ มีขวด ทนายความของ น.ส.พสิษฐ์ ได้เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวน พร้อมขอเข้าพบเพื่อพูดคุยกับ น.ส.พสิษฐ์ ในเรื่องคดี ก่อนกล่าวภายหลังพูดคุยกับ น.ส.พสิษฐ์ ว่า เท่าที่ได้พูดคุยมาน.ส.พสิษฐ์ ยืนยันว่าไม่ได้จะเดินทางหนี ส่วนเหตุผลที่เดินทางไป จ.ระนอง เพราะหลังเกิดเหตุรู้สึกตกใจ จึงเดินทางไปตั้งหลัก ก่อนจะมีการติดต่อทนายความ เพื่อจะเดินทางเข้ามอบตัว แต่ติดขัดในเรื่องการเดินทางทำให้เดินทางไปไม่ทัน ก่อนที่เจ้าหน้าที่จะเข้าควบคุมตัว
ต่อมาเมื่อเวลา 14.00 น. พล.ต.ต.สุทิน ทรัพย์พ่วง ผบก.ป.กล่าวว่า เมื่อช่วงเช้า พล.ต.ท.ฐิติราช ได้เดินทางมาเพื่อสอบปากคำ น.ส.พสิษฐ์ ในประเด็นติดตามเส้นทางการเงินเป็นหลัก เพราะคดีนี้จำเป็นต้องเน้นตรวจสอบร่องรอยทางการเงินที่คาดว่าผู้ต้องหาจะนำเงินไปเก็บไว้ หรือนำไปซื้อแปลงเป็นทรัพย์สิน โดยคดีนี้มีลักษณะการหลอกลวงคล้ายกับคดีของบริษัท ยูฟัน ที่จะต้องสืบหาผู้ร่วมขบวนการทั้งหมดเพื่อนำมาดำเนินคดี โดยจะให้ ปปง.เข้ามาตรวจสอบร่องรอยทางการเงินว่ามีการโยกย้ายหรือแปรสภาพเงินไปที่ใดบ้าง ส่วนเครือข่ายของโชกุนที่ถูกควบคุมตัวอยู่ที่ มทบ.11 อีก 8 คนนั้น ได้ส่งพนักงานสอบสวนไปร่วมสอบสวนแล้ว สำหรับเรื่องการคืนเงินให้แก่ผู้เสียหายนั้น ต้องรวบรวมเงินของโชกุนให้ได้ก่อน โดยขณะนี้ทราบว่า ปปง.อายัดเพียงเงินสดในบัญชีประมาณ 3 ล้านบาท และยังไม่ได้ตรวจสอบทรัพย์สินอื่นๆ ทั้งนี้เมื่อได้ทรัพย์มาครบแล้วจะนำมาเฉลี่ยกับจำนวนผู้เสียหายที่มาแจ้งความ ส่วนกรณีที่มีชื่อนักแสดงรุ่นเก่าปรากฏในทริปไปเที่ยวประเทศญี่ปุ่นในครั้งนี้ด้วยนั้นยังอยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อมูล อาจเป็นการแอบอ้างนำชื่อมาโปรโมตเท่านั้นเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ ทั้งนี้ต้องเชิญตัวมาสอบถามก่อนยังไม่ปักใจว่าเป็นผู้ร่วมกระทำความผิดหรือไม่ สำหรับกรณีที่มีชาวต่างชาติตกเป็นผู้เสียหายด้วยหรือไม่นั้น ขณะนี้ยังไม่พบว่ามาแจ้งความแต่อย่างใด
** โดนหมายจับฉ้อโกงปี59อีกคดี
พล.ต.ต.สุทินกล่าวด้วยว่า นอกจากหมายจับที่ทางกองปราบปรามมีนั้น ทราบว่าโชกุนและนายก้องศรัณย์ แสงประภา ถูกศาลออกหมายจับในข้อหาฉ้อโกงแล้ว โดยคดีดังกล่าวเป็นคดีเก่าเมื่อปี 2559 ที่ผู้เสียหายเข้าแจ้งความต่อ สน.ห้วยขวางไว้ อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 14 เม.ย.นี้ พนักงานสอบสวนจะนำตัวซินแสโชกุนไปฝากขังที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ในเวลา 10.00 น. โดยท้ายคำร้องคาดว่าจะคัดค้านการประกันตัว และจะประสาน พ.ต.อ.อาคม รรท.ผกก.สน.ห้วยขวาง อายัดตัวไปดำเนินคดีต่อไป
ด้าน พ.ต.อ.อาคม จันทนลาช รองผบก.อก.บก.น.1 รรท.ผกก.สน.ห้วยขวาง กล่าวว่า ศาลแขวงพระนครเหนือ ออกหมายจับ น.ส.ภวิศ ภูริภัทร์เมฆินทร์ ที่ 215/2560 ลงวันที่ 13 เมษายน 2560 ในข้อหา ร่วมกันฉ้อโกง ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่าน.ส.ภวิศ ,น.ส.พสิษฐ์ และซินแสโชกุน คือบุคคลเดียวกัน โดยพฤติการณ์แห่งคดีเกิดขึ้นเดือนเมษายน ปี 2559 น.ส.ภวิศ หลอกลวงผู้เสียหายขอติดต่อลูกของผู้เสียหาย อายุประมาณ 9 ขวบ เพื่อไปถ่ายแบบที่ประเทศญี่ปุ่น โดยมีค่าดำเนินการเบื้องต้นเป็นค่ามัดจำ เป็นเงิน 220,000 บาทเมื่อโอนเงินไปแล้ว น.ส.ภวิศ พาผู้เสียหายและลูกผู้เสียหายไปประเทศญี่ปุ่น แต่กลับไม่สามารถถ่ายแบบได้ โดยอ้างว่าเป็นเพราะติดขัดเรื่องทีมงาน ก่อนจะรับปากว่าเมื่อกลับประเทศไทยจะโอนเงินคืนให้ทั้งหมด แต่เมื่อกลับถึงไทยแล้ว ไม่สามารถติดต่อ น.ส.ภวิศได้ จึงเข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวน สน.ห้วยขวาง.