สถานการณ์โลกร้อนระอุขึ้นทันทีที่ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ สั่งยิงจรวดโทมาฮอร์ก 59 ลูกใส่ฐานทัพอากาศ Shayrat ของซีเรีย หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ คอลัมน์สรุปสถานการณ์โลก ได้เรียบเรียงลำดับเหตุการณ์ครั้งนี้ไว้อย่างละเอียด ซึ่งผู้เขียนขออนุญาตตัดทอนบางส่วนมาสรุปแต่พอสังเขปดังนี้
ประธานาธิบดีทรัมป์ กล่าวว่า เมื่อวันอังคาร (4 เม.ย) ผู้นำเผด็จการบาชาร์ อัล-อัสซาด (Bashar Al-Assad) โจมตีพลเรือนผู้บริสุทธิ์อย่างโหดร้ายด้วยอาวุธเคมี เป็นสารทำลายประสาท เหตุเกิดที่เมือง Idlib ทางตอนเหนือของซีเรีย เขตควบคุมของฝ่ายต่อต้านมีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 80 ราย ในจำนวนนี้เป็นเด็กเกือบ 30 ราย สื่อ The Guardian อ้างข้อมูลจากผู้เห็นเหตุการณ์ว่าก๊าซพิษเกิดขึ้นหลังเครื่องบินรบบินผ่าน รัฐบาลสหรัฐฯ โทษว่าเป็นฝีมือของรัฐบาลอัสซาด
ประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศกร้าวว่า เหตุที่ตัดสินใจทำเช่นนี้ก็เพื่อประโยชน์ยิ่งยวดแห่งชาติ (Vital National Security Interest) พร้อมกับเรียกร้องให้ชาติอารยะทั้งหลายร่วมมือกับสหรัฐฯ หยุดการสังหารและหลั่งเลือดในซีเรีย รวมทั้งการก่อการร้ายทุกประเภท
การใช้อาวุธเคมีในซีเรียเป็นเรื่องเก่าที่เกิดขึ้นนับสิบครั้งแล้ว บางครั้งโทษรัฐบาลอัสซาด บางครั้งโทษฝ่ายต่อต้าน ผู้ก่อการร้าย ครั้งร้ายแรงที่สุดเกิดเมื่อสิงหาคม 2013 แถบชานกรุงดามัสกัส มีผู้เสียชีวิตกว่า 1,400 ราย ครั้งนั้นรัฐบาลโอบามาอ้างหลักฐานจากดาวเทียม แสดงให้เห็นว่าจรวดปล่อยจากพื้นที่ฝั่งของรัฐบาลเป็นเวลา 90 นาทีก่อนเริ่มมีรายงานการโจมตีด้วยอาวุธเคมี ภาพจากวิดีโอกว่า 100 รายการแสดงให้เห็นว่าผู้เคราะห์ร้ายได้รับอาวุธเคมีชนิดส่งผลต่อระบบประสาท สหรัฐฯ สามารถดักฟังการสนทนาของเจ้าหน้าที่ระดับสูงซีเรียที่พูดว่า “ยืนยันว่าได้ปล่อยอาวุธเคมีแล้ว แต่ไม่ยอมเปิดเผยข้อมูลเหล่านี้ต่อสาธารณะ”
ด้วยเหตุนี้ประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูติน จึงท้าทายให้สหรัฐฯ นำหลักฐานดังกล่าวมาพิสูจน์ในสหประชาชาติ พร้อมกับกล่าวว่า “ถ้ามีหลักฐานก็ควรแสดงออกมา ถ้าไม่แสดงเท่ากับว่าไม่มีหลักฐานจริง”
ขณะนั้นเกิดกระแสให้สหรัฐฯ โจมตีซีเรีย แต่ทั้งๆ ที่อ้างว่ามีหลักฐาน ประธานาธิบดีมีอำนาจสั่งโจมตีโดยชอบ แต่โอบามากลับโยนเรื่องให้รัฐสภาเป็นผู้ตัดสินใจว่าควรโจมตีหรือไม่ ให้เหตุผลว่าต้องการทำเป็นตัวอย่างในฐานะประเทศที่มีรัฐธรรมนูญประชาธิปไตยเก่าแก่ที่สุดในโลก เป็นการ “ขออนุญาตใช้กำลังจากตัวแทนของชาวอเมริกันในรัฐสภา” สุดท้ายเรื่องก็เงียบหายไป
สิ่งที่ทรัมป์แตกต่างจากโอบามาคือ ทรัมป์สั่งโจมตีทันทีใน 2 วันถัดไป เรื่องร้ายแรงสุดคือประธานาธิบดีทรัมป์สั่งโจมตี ทั้งๆ ที่ยังไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าเป็นฝีมือใคร (ทรัมป์กล่าวโทษรัฐบาลซีเรีย แต่ไม่แสดงหลักฐาน) กลายเป็นบรรทัดฐานใหม่ เพียงรัฐบาลทรัมป์ว่าคิดเป็นเช่นนั้นจริงก็จะลงมือทันที โดยไม่สนใจข้อเท็จจริง คำคัดค้านจากประเทศอื่นๆ
การโจมตีซีเรียครั้งนี้จึงเกิดปฏิกิริยาคัดค้านตอบโต้จากรัสเซียและเกาหลีเหนือ ซึ่งต่างก็มีขีปนาวุธร้ายแรงเช่นเดียวกัน
ยังไม่นับมังกรยักษ์อย่างจีนและพันธมิตรแถบยุโรปอีกหลายประเทศ ที่ยังไม่แสดงออกต่อการเปิดฉากโจมตีซีเรียของสหรัฐอเมริกาครั้งนี้ ซึ่งยังไม่แน่ว่าอาจเป็นการจุดชนวนที่ก่อให้เกิดไฟสงครามลุกลามไปในวงกว้างได้
ผู้เขียนติดตามข่าวระทึกขวัญชาวโลกครั้งนี้ ด้วยความรู้สึกในอีกมุมมองหนึ่งของคนที่ไม่เคยเห็นด้วยกับสงครามใดๆ ที่ตัดสินกันด้วยอาวุธและความรุนแรง โดยเฉพาะปัจจุบันที่ต่างคิดค้นสะสมขีปนาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างรุนแรงขึ้นทุกที
สงครามด้วยวิธีกดปุ่มยิงขีปนาวุธระยะไกล มีแต่จะทำให้ชีวิตผู้คนบริสุทธิ์ เด็ก ผู้หญิง และคนชราต้องบาดเจ็บล้มตายอย่างน่าอเนจอนาถใจ ภาพของตึกรามบ้านช่องที่พังทลายราบเป็นหน้ากลองในพริบตา ด้วยแรงระเบิดจากขีปนาวุธต่างๆ นานา
ผู้เขียนในฐานะพลเมืองของประเทศที่เล็กกระจ้อยร่อย ไม่มีศักยภาพที่จะสะสมขีปนาวุธใดๆ ก็ได้แต่แสดงออกและวิงวอนด้วยบทกวีบทนี้
“หยุดเถิด ทุกขีปนาวุธ”
แข่งขันคิดค้นขีปนาวุธ
จ่อจุดชนวนลามห้ำหั่น
คิดแค่เอาชนะคะคานกัน
มุ่งมั่นมุ่งร้ายทำลายล้าง
นับวันขีปนาวุธรุดหน้า
อำนาจการเข่นฆ่ายิ่งไกลกว้าง
ตึกรามสลายวับอับปาง
บ้านร้างเมืองร้างในพริบตา
ชีวิตคนล้มตายระเนนระนาด
ขีปนาวุธกวาดไม่เลือกหน้า
วัยรุ่น เด็กทารก คนชรา
ล้มตายคล้ายผักปลาไม่รู้ตัว
ที่รอดตายเจ็บพิการไร้บ้านช่อง
เหยื่อของความคับข้องคนต่างขั้ว
เหยื่อพิษสงครามความหวาดกลัว
เหยื่อผู้นำชาติชั่วผู้บงการ
ขอสาปแช่งทุกขีปนาวุธ
สาปแช่งคนที่จุดชนวนประหาร
สาปแช่งการรบราการรุกราน
สาปแช่งความดิบด้านทุกผู้นำ
หยุดเถิดการขัดแย้งแบ่งฝ่าย
หยุดเถิดการมุ่งร้ายขยี้ขย้ำ
หยุดเถิดการเข่นฆ่าสาริยำ
หยุดสงครามมืดดำ หยุดทำลาย
ว.แหวนลงยา