ข่าวปนคน คนปนข่าว …(ฉบับ ออกวันที่ 14 เม.ย.)
"ฝันอร่อย"ของนายกฯลุงตู่
อย่าให้ประชาชนติดกับดัก"อีอีซี"
เมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา "นายกฯลุงตู่" พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พร้อมด้วย "เฮียกวง" สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ ด้านเศรษฐกิจ หอบหิ้วรัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐกิจ ลงพื้นที่สนามบินอู่ตะเภา จ.ระยอง ที่มีการจัดประชุมคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) และเยี่ยมชมโครงการพัฒนาสนามบิน นานาชาติอู่ตะเภา ตามแผนการสร้างฐานเศรษฐกิจในยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี หนีกับดักประเทศรายได้ปานกลาง สู่ไทยแลนด์ 4.0 มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน
การไปครั้งนี้ นายกฯได้เป็นสักขีพยาน การเซ็นเอ็มโอยู 3 ฉบับ 1 . เรื่องศูนย์ซ่อมอากาศยาน ระหว่างกองทัพเรือกับการบินไทย 2.เรื่องศูนย์ขนส่งสินค้าทางอากาศ ระหว่างกองทัพเรือกับการบินไทย และ 3.เรื่องศูนย์ฝึกอบรมบุคลากรทางการบิน ระหว่างกองทัพเรือ กับสถาบันการบินพลเรือน และ "ลุงตู่" ยังได้พบปะหารืออย่างเป็นกันเองกับผู้นำ ภาคธุรกิจ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ที่สนใจจะมาลงทุน เพื่อรับรู้ถึงความต้องการ และข้อเสนอแนะต่างๆ
กลับจากอู่ตะเภา ก็นำเรื่องนี้เข้าหารือในที่ประชุมครม.เมื่อวันอังคารที่ผ่านมาทันที มีการสั่งแก้กฎหมายทันควัน เพื่อปลดล็อก ข้อจำกัดต่างๆ โดย 1. ให้เปลี่ยนชื่อ ร่าง พ.ร.บ.จากเดิมที่ใช้คำว่า "ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก" เป็น "ร่าง พ.ร.บ.เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก" เพื่อสามารถเพิ่มเติมพื้นที่ นอกเหนือจากเดิมที่กำหนดไว้แค่ 3 จังหวัด คือ ฉะเชิงเทรา ชลบุรี และ ระยอง 2. จัดตั้ง"ซูเปอร์บอร์ด" ที่มีนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน มีรัฐมนตรีจาก 13 กระทรวง เป็นกรรมการ โดย"ซูเปอร์บอร์ด" จะมีอำนาจในการประกาศพื้นที่ใด เป็นเขตส่งเสริมพิเศษ เพื่อรับสิทธิประโยชน์ต่างๆได้
3. ให้จัดตั้งสำนักงานเพื่อพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ "สำนักงาน EEC" ที่เป็นศูนย์ "วันสต็อป เซอร์วิส" เพื่อแก้ปัญหาข้อติดขัดต่างๆ ในการลงทุน โดยเฉพาะในเรื่องกฎหมาย ระเบียบกฎเกณฑ์ต่างๆ เช่น กฎหมายร่วมทุน กฎหมายคอนโดมิเนียม กฎหมายคนต่างด้าว กฎหมายวิชาชีพ กฎหมายอาหารและยา กฎหมายทะเบียนการค้า เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีการตั้ง"กองทุนอีอีซี" โดยจะเก็บเงินจากบริษัทต่างๆในพื้นที่ ที่เข้ามาลงทุน เพื่อไว้ใช้ในการพัฒนาพื้นที่ชุมชน และแก้ปัญหาประชาชนที่ได้รับผลกระทบจาก อีอีซี
+++++++++++++++++++
ประเทศไทยจะ "โชติช่วงชัชวาลย์ รอบ 2" หลังจากคำว่า "โชติช่วงชัชวาลย์" เป็นวลียอดฮิต เมื่อหลายสิบปีก่อน ที่มีการค้นพบ "บ่อแก๊ส" ในอ่าวไทยเป็นครั้งแรก และเป็นที่มาของ "อีสเทิร์นซีบอร์ด" นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด และ อุตสาหกรรมปิโตรเคมีของไทย ที่ตอนนี้ติดอันดับต้นๆ ของโลก โครงการ "อีอีซี" ของลุงตู่ จะมาต่อยอด ให้พื้นที่ภาคตะวัน ออกนี้ เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจ ทั้งด้านการบิน ศูนย์ซ่อมบำรุง การขนส่ง ศูนย์กระจายสินค้า และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับเทคโนโลยีของโลกสมัยใหม่ นักลงทุนจากทั่วโลกจะมารวมกันอยู่ที่นี่ ทั้ง"ลาซาด้า" "อาลีบาบา" ของ"แจ๊คหม่า" ก็มาด้วย มีรถไฟความเร็วสูง สามารถเดินทางจากกรุงเทพฯไปยังพื้นที่โครงการภายในไม่กี่สิบนาที และ อีอีซี จะเป็นต้นแบบของ"ระเบียงเศรษฐกิจ" ที่จะนำไปใช้ในภูมิภาคต่างๆ ของประเทศด้วย เราจะ รวย..รวย..รวย !!
ก็ไม่ได้อยากจะขัดคอ "ลุงตู่" ที่กำลัง "ฝันอร่อย" กับโครงการ อีอีซี หรอกนะ... เพียงแต่อยากสะกิดเตือนว่า ขอให้ศึกษาปัญหาที่เกิดขึ้นในอดีตไว้เป็นบทเรียนด้วย จะได้หาทางแก้ไขไม่ให้เกิดซ้ำอีก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องประชาชนที่อยู่ในพื้นที่มาก่อน ไม่ได้รับผลประโยชน์อะไรจากการพัฒนา แต่ต้องมารองรับมลภาวะจากโรงงานอุตสาหกรรม ทั้ง ดินเสีย น้ำเสีย อากาศเป็นพิษ ขยะพิษ ปัญหาสุขภาพ การสาธารณสุข การศึกษา การจราจร ผังเมือง ปัญหาสังคม ฯลฯ ต้องดูให้รอบด้าน อย่าให้ประชาชน "ติดกับดักอีอีซี" ต้องใช้ชีวิตอย่าง "ทนทุกข์ ทรมาน" เหมือนที่เคยเป็นมา... สงสารชาวบ้านน่ะ.
"ฝันอร่อย"ของนายกฯลุงตู่
อย่าให้ประชาชนติดกับดัก"อีอีซี"
เมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา "นายกฯลุงตู่" พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พร้อมด้วย "เฮียกวง" สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ ด้านเศรษฐกิจ หอบหิ้วรัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐกิจ ลงพื้นที่สนามบินอู่ตะเภา จ.ระยอง ที่มีการจัดประชุมคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) และเยี่ยมชมโครงการพัฒนาสนามบิน นานาชาติอู่ตะเภา ตามแผนการสร้างฐานเศรษฐกิจในยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี หนีกับดักประเทศรายได้ปานกลาง สู่ไทยแลนด์ 4.0 มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน
การไปครั้งนี้ นายกฯได้เป็นสักขีพยาน การเซ็นเอ็มโอยู 3 ฉบับ 1 . เรื่องศูนย์ซ่อมอากาศยาน ระหว่างกองทัพเรือกับการบินไทย 2.เรื่องศูนย์ขนส่งสินค้าทางอากาศ ระหว่างกองทัพเรือกับการบินไทย และ 3.เรื่องศูนย์ฝึกอบรมบุคลากรทางการบิน ระหว่างกองทัพเรือ กับสถาบันการบินพลเรือน และ "ลุงตู่" ยังได้พบปะหารืออย่างเป็นกันเองกับผู้นำ ภาคธุรกิจ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ที่สนใจจะมาลงทุน เพื่อรับรู้ถึงความต้องการ และข้อเสนอแนะต่างๆ
กลับจากอู่ตะเภา ก็นำเรื่องนี้เข้าหารือในที่ประชุมครม.เมื่อวันอังคารที่ผ่านมาทันที มีการสั่งแก้กฎหมายทันควัน เพื่อปลดล็อก ข้อจำกัดต่างๆ โดย 1. ให้เปลี่ยนชื่อ ร่าง พ.ร.บ.จากเดิมที่ใช้คำว่า "ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก" เป็น "ร่าง พ.ร.บ.เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก" เพื่อสามารถเพิ่มเติมพื้นที่ นอกเหนือจากเดิมที่กำหนดไว้แค่ 3 จังหวัด คือ ฉะเชิงเทรา ชลบุรี และ ระยอง 2. จัดตั้ง"ซูเปอร์บอร์ด" ที่มีนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน มีรัฐมนตรีจาก 13 กระทรวง เป็นกรรมการ โดย"ซูเปอร์บอร์ด" จะมีอำนาจในการประกาศพื้นที่ใด เป็นเขตส่งเสริมพิเศษ เพื่อรับสิทธิประโยชน์ต่างๆได้
3. ให้จัดตั้งสำนักงานเพื่อพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ "สำนักงาน EEC" ที่เป็นศูนย์ "วันสต็อป เซอร์วิส" เพื่อแก้ปัญหาข้อติดขัดต่างๆ ในการลงทุน โดยเฉพาะในเรื่องกฎหมาย ระเบียบกฎเกณฑ์ต่างๆ เช่น กฎหมายร่วมทุน กฎหมายคอนโดมิเนียม กฎหมายคนต่างด้าว กฎหมายวิชาชีพ กฎหมายอาหารและยา กฎหมายทะเบียนการค้า เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีการตั้ง"กองทุนอีอีซี" โดยจะเก็บเงินจากบริษัทต่างๆในพื้นที่ ที่เข้ามาลงทุน เพื่อไว้ใช้ในการพัฒนาพื้นที่ชุมชน และแก้ปัญหาประชาชนที่ได้รับผลกระทบจาก อีอีซี
+++++++++++++++++++
ประเทศไทยจะ "โชติช่วงชัชวาลย์ รอบ 2" หลังจากคำว่า "โชติช่วงชัชวาลย์" เป็นวลียอดฮิต เมื่อหลายสิบปีก่อน ที่มีการค้นพบ "บ่อแก๊ส" ในอ่าวไทยเป็นครั้งแรก และเป็นที่มาของ "อีสเทิร์นซีบอร์ด" นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด และ อุตสาหกรรมปิโตรเคมีของไทย ที่ตอนนี้ติดอันดับต้นๆ ของโลก โครงการ "อีอีซี" ของลุงตู่ จะมาต่อยอด ให้พื้นที่ภาคตะวัน ออกนี้ เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจ ทั้งด้านการบิน ศูนย์ซ่อมบำรุง การขนส่ง ศูนย์กระจายสินค้า และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับเทคโนโลยีของโลกสมัยใหม่ นักลงทุนจากทั่วโลกจะมารวมกันอยู่ที่นี่ ทั้ง"ลาซาด้า" "อาลีบาบา" ของ"แจ๊คหม่า" ก็มาด้วย มีรถไฟความเร็วสูง สามารถเดินทางจากกรุงเทพฯไปยังพื้นที่โครงการภายในไม่กี่สิบนาที และ อีอีซี จะเป็นต้นแบบของ"ระเบียงเศรษฐกิจ" ที่จะนำไปใช้ในภูมิภาคต่างๆ ของประเทศด้วย เราจะ รวย..รวย..รวย !!
ก็ไม่ได้อยากจะขัดคอ "ลุงตู่" ที่กำลัง "ฝันอร่อย" กับโครงการ อีอีซี หรอกนะ... เพียงแต่อยากสะกิดเตือนว่า ขอให้ศึกษาปัญหาที่เกิดขึ้นในอดีตไว้เป็นบทเรียนด้วย จะได้หาทางแก้ไขไม่ให้เกิดซ้ำอีก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องประชาชนที่อยู่ในพื้นที่มาก่อน ไม่ได้รับผลประโยชน์อะไรจากการพัฒนา แต่ต้องมารองรับมลภาวะจากโรงงานอุตสาหกรรม ทั้ง ดินเสีย น้ำเสีย อากาศเป็นพิษ ขยะพิษ ปัญหาสุขภาพ การสาธารณสุข การศึกษา การจราจร ผังเมือง ปัญหาสังคม ฯลฯ ต้องดูให้รอบด้าน อย่าให้ประชาชน "ติดกับดักอีอีซี" ต้องใช้ชีวิตอย่าง "ทนทุกข์ ทรมาน" เหมือนที่เคยเป็นมา... สงสารชาวบ้านน่ะ.